ประธานาธิบดีเอนริเก เปนญา นิเอโตแห่งเม็กซิโกเปิดเผยถึงการปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศเพื่อให้สอดรับกับสภาวะการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยทั้งสองจะพบปะเพื่อหารือกันในวันที่ 31 ม.ค. นี้
ทั้งนี้ ทรัมป์ได้แสดงจุดยืนในการปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน ด้วยการลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเมื่อวานนี้ เพื่อให้สหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลง TPP อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งทรัมป์มองว่าการดำเนินการดังกล่าว "ถือเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับแรงงานชาวสหรัฐ"
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเตรียมลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเพื่อให้สหรัฐทำการเจรจาครั้งใหม่ต่อข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟต้า) กับแคนาดาและเม็กซิโก เพื่อไม่ให้สหรัฐเสียเปรียบในการทำการค้า อีกทั้งการสร้างกำแพงตามแนวชายแดนสหรัฐ - เม็กซิโกเพื่อป้องกันแรงงานข้ามชาติที่ผิดกฎหมาย
ประธานาธิบดีเม็กซิโกกล่าวว่า "การแลกเปลี่ยนทางการค้าของทั้งสามประเทศควรได้รับการยกเว้นภาษีหรือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ดังเช่นที่เคยเป็นมาตั้งแต่ปี 2551"
ส่วนปัญหาชายแดนนั้น ปธน.เอนริเกมุ่งรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไว้มากกว่าที่จะแบ่งแยก โดยกล่าวว่าพื้นที่ดังกล่าวควรมีระยะของการอยู่ร่วมกัน ไปจนถึงความปลอดภัย และการพัฒนาร่วมกัน
นอกจากนี้ เม็กซิโกยังพยายามกระจายการลงทุนทางการค้าและความสัมพันธ์ทางการเมืองกับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศอาร์เจนตินาและบราซิล ซึ่งมีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคละตินอเมริกา