บารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ แสดงจุดยืนสนับสนุนผู้ที่ออกมาประท้วงคัดค้านคำสั่งห้ามประชาชนจาก 7 ชาติมุสลิมเข้าประเทศซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันเป็นผู้อนุมัติ
อดีตผู้นำสหรัฐเปิดเผยผ่านนายเควิน เลวิส โฆษกประจำตัวว่า การที่พลเมืองใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการรวมตัวกันเพื่อให้เสียงของตนเองร้องเรียนไปถึงเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับเลือกนั้นถือ เป็นสิ่งตนคาดหวังในยามที่คุณค่าของชาวอเมริกันตกอยู่ในความเสี่ยง
นายเลวิสระบุว่า โอบามาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุผลด้านศาสนาหรือความเชื่อ โดยระบุถึงนโยบายต่างประเทศในสมัยของนายโอบามาซึ่งนำมาเปรียบเทียบกับปธน.ทรัมป์
ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกที่นายโอบามาวิจารณ์การทำงานของปธน.ทรัมป์หลังจากที่เขาหมดวาระประธานาธิบดี ซึ่งโดยธรรมเนียมแล้ว ปธน.คนก่อนมักจะไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปธน.คนปัจจุบัน
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเพื่อระงับการเข้าสหรัฐของพลเมืองจาก 7 ชาติมุสลิม ซึ่งได้แก่ ซีเรีย เยเมน ซูดาน โซมาเลีย อิรัก อิหร่าน และลิเบีย เป็นเวลา 90 วัน และห้ามผู้ลี้ภัยจากทุกประเทศเข้าสหรัฐ เป็นเวลา 120 วัน โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องชาวอเมริกันจากการก่อการร้าย
ขณะที่ทำเนียบขาวได้เผยแพร่แถลงการณ์ของปธน.ทรัมป์ ซึ่งได้กล่าวปกป้องมาตรการระงับชาวมุสลิม 7 ชาติเดินทางเข้าสหรัฐ โดยระบุว่า อเมริกาเป็นชาติที่มีความภาคภูมิใจต่อผู้อพยพ แต่คำสั่งดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ โดยไม่ใช่เรื่องของศาสนา