สภาสามัญชน (House of Commons) ของอังกฤษ มีมติด้วยคะแนนเสียง 494 ต่อ 122 เห็นชอบต่อร่างกฎหมายว่าด้วยการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เมื่อวานนี้ โดยไม่มีการแปรญัตติ
ทั้งนี้ ร่างกฎหมาย Brexit จะถูกส่งต่อไปยังสภาขุนนาง (House of Lords) เพื่อให้การรับรอง และเมื่อร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการลงมติจากรัฐสภาแล้ว ก็จะเปิดทางให้นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ สามารถประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรป เพื่อให้อังกฤษเริ่มต้นกระบวนการเจรจาเป็นเวลา 2 ปี สำหรับการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป
นายเดวิด เดวิส รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit กล่าวว่า "การเป็น หรือ ไม่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เป็นการตัดสินใจที่มาจากประชาชน ถึงเวลาแล้วที่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้สนับสนุนหรือไม่สนับสนุน Brexit ก็ตาม จะต้องผนึกกำลังกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อพาประเทศผ่านพ้นภารกิจสำคัญในครั้งนี้ไปให้ได้"
อย่างไรก็ตาม นายอเล็กซ์ แซลมอนด์ สมาชิกรัฐสภาสก็อตแลนด์ฝั่งชาตินิยม ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การลงคะแนนเสียงเพื่อผ่านร่างกฎหมายของสภาอังกฤษ ว่าเป็นการผลักดันร่างกฎหมายที่เร่งรีบ และ "ไม่มีความสง่างาม"
นายเดวิสกล่าวว่า การผ่านร่างกฎหมาย Brexit เมื่อวานนี้ เป็นการผ่านร่างกฏหมายที่มีความสำคัญอย่างมากเป็นครั้งแรกในรอบ 103 ปี หลังมีการผ่านร่างกฎหมายป้องกันราชอาณาจักรในปี 2457 ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1
การที่ร่างกฎหมาย Brexit ได้รับการอนุมัติจากสภาสามัญชน ทำให้หลายฝ่ายต่างออกมาคาดการณ์ว่า นางเมย์จะสามารถแจ้งต่อสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการถอนตัวได้อย่างเป็นทางการภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อเริ่มกระบวนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า สภาขุนนางจะลงมติเห็นชอบต่อร่างกฎหมาย Brexit โดยไม่มีการแปรญัตติเช่นกัน ขณะที่สื่อรายงานว่า นางเทเรซา เมย์ อาจประกาศใช้มาตรา 50 ในวันที่ 9 มี.ค. ในระหว่างที่เข้าประชุมสุดยอดของสภายุโรปที่ประเทศมอลตา
อนึ่ง นอกจากการลงคะแนนเสียงเพื่ออนุมัติร่างกฎหมาย Brexit แล้ว ยังมีการลงคะแนนเสียงเพื่อเรียกร้องให้อังกฤษยังคงเป็นสมาชิกของประชาคมพลังงานปรมาณูแห่งยุโรป (EURATOM) ซึ่งผลปรากฏว่า มีเสียงสนับสนุนเพียง 287 เสียง เมื่อเทียบกับเสียงคัดค้าน 336 เสียง
นายเดวิด โจนส์ รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit กล่าวว่า การที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป ย่อมหมายความว่าอังกฤษได้แยกตัวออกจาก EURATOM ด้วย
อย่างไรก็ตาม นายโจนส์ยืนยันว่า รัฐบาลยังคงต้องการที่จะคงไว้ซึ่งความร่วมมือระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องเจรจาร่วมกันต่อไป