ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ออกมาเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติ (UN) ดำเนินการตรวจสอบกรณีการใช้อาวุธเคมีในซีเรีย เนื่องจากรัสเซียมีความวิตกกังวลว่า ซีเรียอาจต้องเผชิญกับการโจมตีด้วยข้อกล่าวหาการใช้อาวุธเคมีซ้ำอีกครั้ง
ปูตินกล่าวในการแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีเซอร์จิโอ มัตตาเรลลา แห่งอิตาลี โดยได้เรียกร้องให้ประชาคมโลกเข้าสอบสวนกรณีที่มีการกล่าวหาว่า รัฐบาลซีเรียทำการโจมตีเมืองคาน เชคุน ด้วยอาวุธเคมี โดยเมืองดังกล่าวเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏที่ต่อต้านประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด เพื่อหามาตราการลงดาบรัฐบาลซีเรียหากพบว่ามีการกระทำผิดจริง
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลซีเรียภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ถูกระบุว่าได้ใช้แก๊สโจมตีกลุ่มกบฏในจังหวังอิดลิบทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย ซึ่งส่งผลให้ประชาชนในซีเรียกว่า 70 คนเสียชีวิต
เหตุดังกล่าวส่งผลให้สหรัฐและชาติจากโลกตะวันตก ออกมาประณามการกระทำของนายอัลซาดกันอย่างดุเดือด
อย่างไรก็ตาม กองทัพซีเรียได้ออกมาปฏิเสธการกระทำดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง ขณะที่รมว.กลาโหมของรัสเซียได้ออกมากล่าวโทษว่า ต้นเหตุที่ทำให้ประชาชนเสียชีวิตหลายสิบรายในซีเรียนั้น มาจากก๊าซพิษที่รั่วไหลออกจากคลังแสงของกลุ่มกบฏซึ่งใช้ทำอาวุธเคมี หลังจากรัฐบาลซีเรียโจมตีคลังแสงดังกล่าว
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กองทัพสหรัฐได้ระดมยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์ค 59 ลูกเข้าโจมตีฐานทัพอากาศแห่งหนึ่งของซีเรีย หลังจากได้รับรายงานการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในสมรภูมิซีเรียเป็นเวลา 2 วัน
ทั้งนี้ รมว.กลาโหมของรัสเซียได้กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่า ผู้เสียชีวิตจากเหตุดังกล่าวเป็นพลเรือนทั้งสิ้น 9 คน ซึ่งเป็นเด็ก 4 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 10 คนด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ปธน.ปูตินอ้างว่า รัสเซียได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้มาจากแหล่งข่าวหนึ่งซึ่งระบุว่า สหรัฐกำลังเตรียมทิ้งระเบิดทางใต้ของกรุงดามัสกัสของซีเรีย และจะป้ายความผิดไปยังรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด
ปูตินยังกล่าวด้วยว่า การกระทำในครั้งนี้ทำให้เขาหวนคิดถึงเหตุการณ์ในปี 2546 ที่สหรัฐเคยบุกโจมตีอิรัก โดยใช้ข้ออ้างว่าอิรักมีอาวุธทำลายล้างสูง