ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเพื่อยกระดับความปลอดภัยของเครือข่ายและระบบที่สำคัญของภาครัฐ
"เราเห็นการโจมตีเพิ่มขึ้นจากทั้งประเทศพันธมิตรและประเทศฝั่งตรงข้าม ดังนั้นการเพิกเฉยไม่ทำอะไรเลยจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป" นายทอม บอสเสิร์ท ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งมาตุภูมิกล่าวในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่ทำเนียบขาว
สำหรับคำถามของสื่อมวลชนที่ว่า เหตุผลของการออกคำสั่งฉบับนี้เกี่ยวข้องกับการแฮคของรัสเซียหรือไม่ นายบอสเสิร์ทตอบว่า "เรื่องนี้ไม่ได้มีเหตุจูงใจมาจากรัสเซีย แต่มาจากสหรัฐอเมริกาเอง"
ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งมาตุภูมิกล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐให้ความสำคัญกับการคุ้มครองเครือข่ายเป็นลำดับแรก โดยกำหนดให้หัวหน้าสูงสุดของหน่วยงานภาครัฐรับผิดชอบการนำมาตรการจัดการความเสี่ยงมาใช้ และมุ่งเน้นตรวจสอบการบริการ IT ที่หน่วยงานภาครัฐใช้ร่วมกัน เช่นการเคลื่อนย้ายไปใช้บริการในระบบคลาวด์
"หากเราไม่ย้ายไประบบที่ใช้งานร่วมกันได้ หน่วยงานภาครัฐ 190 แห่งก็จะดึงดันพัฒนาระบบป้องกันของตนเอง ซึ่งก็จะไปขัดขวางการป้องกันในขั้นที่สูงขึ้นไป ผมคิดว่าไม่ใช่วิธีการที่ฉลาด"
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คำสั่งส่วนที่ 2 มุ่งเน้นไปที่การคุ้มครองระบบที่สำคัญของสหรัฐ โดยกำหนดให้ภายใน 90 วันต้องมีรายงานชี้แจงความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ของฐานการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐ ครอบคลุมห่วงโซ่อุปทาน ระบบ เครือข่าย และศักยภาพของฐานการผลิต
สำหรับคำสั่งส่วนที่ 3 ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายนั้น กำหนดให้ภายใน 90 วันต้องมีรายงานชี้แจง "ตัวเลือกเชิงยุทธศาสตร์ในการขัดขวางผู้เป็นปรปักษ์และการคุ้มครองชาวเมริกันจากภัยคุกคามทางไซเบอร์"