นายเจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) ซึ่งถูกนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐสั่งปลดจากตำแหน่งไม่นานมานี้ จะเข้าให้การต่อวุฒิสภาสหรัฐในวันพฤหัสบดีที่ 8 มิ.ย. เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และรัสเซีย โดยคาดว่า วุฒิสภาสหรัฐจะตั้งคำถามต่อนายโคมีย์ในประเด็นที่เขาถูกปธน.ทรัมป์ปลดจากตำแหน่ง และการสืบสวนของ FBI ในประเด็นการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างรัฐบาลรัสเซียและทีมงานหาเสียงของปธน.ทรัมป์
ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า นายโคมีย์จะออกมาเปิดเผยถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ทรัมป์ได้ร้องขอให้เขายุติการสอบสวนประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างนายไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ กับรัฐบาลรัสเซีย หรือไม่ อย่างไร
อย่างไรก็ดี สื่อสหรัฐรายงานว่า นายโคมีย์ได้กล่าวกับคนใกล้ชิดว่า เขาจะไม่กล่าวโทษปธน.ทรัมป์ว่าขัดขวางกระบวนการยุติธรรม โดยนายโคมีย์อาจถูกวุฒิสภาตั้งคำถามเรื่องความจงรักภักดีต่อปธน.ทรัมป์ หลังก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า ปธน.ทรัมป์ได้ขอให้นายโคมีย์ยอมจงรักภักดีต่อเขา
ล่าสุดเมื่อวานนี้ นางซาราห์ แซนเดอร์ โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่ใช้สิทธิ์ขัดขวางนายเจมส์ โคมีย์ ในการแถลงต่อวุฒิสภา เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กระบวนการสืบสวนหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาสหรัฐ ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและละเอียดถี่ถ้วน แม้คำสั่งศาลสหรัฐระบุให้ประธานาธิบดีสหรัฐมีอำนาจในการขัดขวางหมายศาลและการแทรกแซงการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการในการเข้าถึงข้อมูลและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหาร
ด้านปธน.ทรัมป์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ผมขอให้เขาโชคดี"
ทั้งนี้ นายโคมีย์เป็นผู้รื้อคดีอีเมลฉาวของนางฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ โดยได้ดำเนินการตรวจสอบอีเมลส่วนตัวที่นางฮิลลารีรับและส่งข้อความในช่วงที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าว แต่ท้ายที่สุด นายโคมีย์สรุปว่า นางฮิลลารีไม่มีความผิดทางคดีอาญา
นอกจากนี้ เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา นายเจมส์ โคมีย์ กล่าวว่า FBI ไม่พบหลักฐานใดๆที่บ่งชี้ว่า อดีตปธน.บารัค โอบามา เป็นผู้ออกคำสั่งให้มีการดักฟังโทรศัพท์ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ภายในอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ที่นครนิวยอร์ก ในช่วงการหาเสียงเมื่อปี 2559
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์มิซูโฮ อเมริกา กล่าวว่า ตลาดการเงินจับตาคำให้การของอดีตผู้อำนวยการ FBI อย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นตัวบ่งชี้ว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์มีความเกี่ยวข้องกับรัสเซียตามข้อกล่าวหารือไม่ และคำให้การดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของปธน.ทรัมป์