สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายราอูล คาสโตร ประธานาธิบดีคิวบา ได้เน้นย้ำถึงความพยายามของประเทศในการเจรจากับสหรัฐเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นด้านความเท่าเทียมและการเคารพในอำนาจอธิปไตยและอิสรภาพ
นายคาสโตรกล่าวระหว่างปิดการประชุมร่วมกับรัฐสภาว่า “คิวบาและสหรัฐสามารถร่วมมือและเดินหน้าไปด้วยกันได้ หากทั้งสองฝ่ายเคารพในความแตกต่างของกันและกัน และสนับสนุนสิ่งที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ของประชาชนในชาติ" หลังจากก่อนหน้านี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ประกาศยกเลิกความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างสองประเทศ ซึ่งนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐคนก่อนหน้า ได้ประกาศให้มีการรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งระหว่างดำรงตำแหน่ง
คาสโตรมองว่า การตัดสินใจของทรัมป์ที่อ้างประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน เป็นการมองข้ามผลประโยชน์ที่ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ในสหรัฐจะได้รับ รวมถึงเสียงของผู้อพยพชาวคิวบาที่อาศัยอยู่ในสหรัฐ โดยผู้ที่ได้รับผลประโยชน์เป็นเพียงกลุ่มธุรกิจส่วนน้อยในรัฐฟลอริด้าเท่านั้น
นอกจากนี้ นายคาสโตรยังยกย่องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างคิวบาและสหรัฐในยุคของนายโอบามา ว่าเป็นการกระทำที่ “อยู่บนบรรทัดฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน" พร้อมใช้เป็นกรณีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า “คิวบาและสหรัฐสามารถดำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีแม้จะมีพื้นฐานที่แตกต่างกันได้"
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศถูกยกเลิกตั้งแต่ในปี 2504 หลังมีแนวความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน อันเป็นผลมาจากสงครามเย็น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐในยุคของนายบารัค โอบามา ได้ประกาศรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศขึ้นอีกครั้งในเดือนก.ค. 2558 หลังการเจรจาลับระหว่างผู้นำทั้งสองที่กินเวลามากกว่า 1 ปีประสบความสำเร็จ ส่งผลให้คิวบาและสหรัฐสามารถร่วมมือกันในหลายด้าน เช่นการต่อสู้ขบวนค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การคมนาคม และการปกป้องสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน ได้ประกาศยกเลิกการรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับคิวบา โดยใช้ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนเป็นเหตุผล ส่งผลให้การขยายธุรกิจและการเดินทางไปมาระหว่างสองประเทศได้รับผลกระทบ