ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) ที่กรุงนิวยอร์กเมื่อวานนี้ โดยทรัมป์ได้ใช้เวทีประชุมสมัชชา UN กดดันให้เกาหลีเหนือล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์ และส่งสัญญาณยุติข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน
- ขู่ทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก หากสหรัฐถูกคุกคาม
ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ซึ่งใช้เวลานานกว่า 40 นาที ทรัมป์ได้พูดถึงเกาหลีเหนืออย่างแข็งกร้าว โดยเตือนว่า หากสหรัฐถูกคุกคามจากเกาหลีเหนือ และหากสหรัฐถูกบังคับให้ต้องปกป้องตนเอง สหรัฐก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากที่จะต้องทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก เว้นเสียแต่ว่าเกาหลีเหนือจะล้มเลิกการทดสอบนิวเคลียร์และยิงขีปนาวุธ เพื่อนำสันติภาพกลับคืนสู่คาบสมุทรเกาหลี
ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐมีความพร้อม มีความเต็มใจ และมีความสามารถที่จะใช้กำลังทหารโจมตีเกาหลีเหนือ แต่สหรัฐก็ขอเรียกร้องให้ UN หาทางจัดการกับเกาหลีเหนือด้วยสันติวิธี
ขณะเดียวกันปธน.ทรัมป์ได้กล่าวขอบคุณจีน รัสเซีย และทุกประเทศที่เกี่ยวข้องในการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ ขณะที่กล่าวตำหนิประเทศที่ยังคงทำการค้ากับเกาหลีเหนือ
นอกจากนี้ ทรัมป์ซึ่งเคยทวีตขู่ว่าจะต่อสู้กับเกาหลีเหนือเมื่อเดือนที่แล้ว ได้กล่าวในที่ประชุมสมัชชา UN ว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือกำลังทำในสิ่งที่เป็นการทำลายทั้งตัวเขาเองและประเทศชาติของเขา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ที่มีความรุนแรงมากขึ้นต่อเกาหลีเหนือ เพื่อตอบโต้ที่เกาหลีเหนือได้ทำการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งล่าสุด
อย่างไรก็ดี ก่อนที่ทรัมป์จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในครั้งนี้เพียงไม่กี่นาที นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติได้กล่าวต่อที่ประชุมสมัชชา UN ว่า ปัญหาวิกฤตในคาบสมุทรเกาหลีควรได้รับการแก้ไขผ่านกระบวนการทางการมือง
- โจมตีข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านเป็นสิ่งที่น่าอับอาย
นอกจากประเด็นเรื่องเกาหลีเหนือแล้ว ประเด็นอิหร่านก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญในการกล่าวสุนทรพจน์ของปธน.ทรัมป์ในครั้งนี้ โดยเขากล่าวว่าข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านซึ่งได้มีการเจรจาไปเมื่อปี 2558 ในสมัยรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา นั้น เป็นสิ่งที่น่าอับอายสำหรับสหรัฐ และส่งสัญญาณว่าเขาอาจจะไม่สนับสนุนข้อตกลงนิวเคลียร์ที่อิหร่านจะใช้เป็นฉากบังหน้าในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
ทรัมป์กล่าวถึงข้อตกลงฉบับนี้ในสุนทรพจน์ของเขาว่า "เป็นหนึ่งในการการทำธุรกรรมด้านเดียวที่แย่ที่สุดที่สหรัฐได้เคยทำมา"
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ของอิหร่าน ได้ออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เขาจะอธิบายถึงสิ่งที่สหรัฐได้ทำผิดเกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์ 2558 ในการกล่าวสุนทรพจน์ของเขาซึ่งถูกกำหนดไว้ในวันพุธนี้
- อเมริกาต้องมาก่อน
ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ ทรัมป์ได้ย้ำถึงนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ซึ่งเป็นสโลแกนที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาชนะการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว
ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะ "ปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกาเหนือสิ่งอื่นใด" พร้อมกับย้ำว่า "สหรัฐจะไม่ยอมถูกฉวยโอกาสโดยไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรกลับมาอีกต่อไป" และเสริมอีกว่า กองทัพสหรัฐจะแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาในเร็วๆนี้
อย่างไรก็ดี นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการ UN ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในการแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า "ผมเชื่อจริงๆว่า วิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐก็คือการมีส่วนร่วมในเชิงบวกกับกิจกรรมทั่วโลก"
นอกจากนี้ ในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรกบนเวทีสมัชชา UN ทรัมป์ได้กล่าวถึงเวเนซุเอลาว่า สถานการณ์ในเวเนซุเอลาขณะนี้อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง และ UN ไม่สามารถที่จะอยู่นิ่งเฉยอีกต่อไป
ทรัมป์กล่าวว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร กำลังนำพาประเทศซึ่งครั้งหนึ่งมีความมั่งคั่ง เข้าสู่ภาวะล่มสลาย พร้อมระบุว่า สหรัฐเตรียมดำเนินการต่อไป ถ้าหากรัฐบาลเวเนซุเอลายังคงทำการกดขี่ข่มเหงประชาชน และเขาเรียกร้องให้เวเนซุเอลารื้อฟื้นระบอบประชาธิปไตย