ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐมนตรีต่างประเทศและเอกอัครราชทูตจากประเทศต่างๆ รวม 40 ประเทศ ได้ร่วมลงนามสนธิในสัญญาที่ระบุให้อาวุธนิวเคลียร์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย โดยพิธีดังกล่าวมีขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีบรรดาผู้รอดชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์ในญี่ปุ่นและนายกเทศมนตรีเมืองนางาซากิ เข้าร่วมพิธีด้วย
ทางด้านองค์การสหประชาชาติ(UN) คาดหวังว่า ประเทศที่ร่วมลงนามจะเพิ่มขึ้นเป็น 51 ประเทศ
ความคืบหน้าดังกล่าวนับเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ หลังจากที่เริ่มมีการเจรจาสนธิสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งมีประเทศต่างๆ 122 ประเทศได้ลงคะแนนสนับสนุนให้โลกปลอดอาวุธนิวเคลียร์ และสนับสนุนให้มีการกำหนดให้อาวุธนิวเคลียร์เป็นสิ่งผิดกฎหมายเป็นครั้งแรก หลังจากที่มีเสียงเรียกร้องจากเหยื่อระเบิดนิวเคลียร์และประชาคมโลกมานานหลายสิบปี
นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวในพิธีว่า "สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการทำให้โลกของเราปลอดอาวุธนิวเคลียร์ นี่เป็นความหวังของผมที่จะช่วยกระตุ้นให้ทั่วโลกพยายามไปถึงจุดๆนั้น"
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า พิธีการลงนามดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนในขณะนี้ เนื่องจากเกาหลีเหนือยังคงเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์ ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้กล่าวเตือนเกาหลีเหนือในระหว่างการประชุมสมัชชา UN ว่า หากสหรัฐถูกคุกคามจากเกาหลีเหนือ และหากสหรัฐถูกบังคับให้ต้องปกป้องตนเอง สหรัฐก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากที่จะต้องทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก