นายเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจ หลังจากสถานทูตสหรัฐประจำกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกี ได้ประกาศระงับการให้บริการวีซ่าประเภท Non-Immigrant Visa ที่สถานทูตและสถานกงสุลของสหรัฐในตุรกี
นายเออร์โดกันเปิดเผยในระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนายเปโตร โปโรเชนโก ประธานาธิบดียูเครน ณ กรุงเคียฟ ประเทศยูเครนว่า "การตัดสินใจระงับการออกวีซ่าประเภทพำนักชั่วคราวถือเป็นเรื่องน่าเศร้า" พร้อมกับแนะนำให้เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศตุรกีตอบโต้สหรัฐโดยอาศัยหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สถานทูตสหรัฐประจำกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกี ได้ประกาศระงับการให้บริการวีซ่าประเภท Non-Immigrant Visa ที่สถานทูตและสถานกงสุลของสหรัฐในตุรกี และหลังจากนั้นไม่นาน สถานทูตตุรกีประจำสหรัฐก็ได้ออกมาตอบโต้ด้วยการระงับการให้บริการวีซ่าประเภทเดียวกันนี้ ที่สถานทูตและสถานกงสุลของตุรกีในสหรัฐ
สถานทูตตุรกีออกแถลงการณ์ว่า "เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลตุรกีต้องทบทวนคำมั่นสัญญาของรัฐบาลสหรัฐที่มีต่อความมั่นคงของหน่วยงานและบุคลากรด้านการทูตของตุรกี โดยในระหว่างการประเมินสถานการณ์นั้น ตุรกีได้ตัดสินใจระงับการให้บริการวีซ่าประเภท "คนอยู่ชั่วคราว" ทั้งหมด ที่สถานทูตและสถานกงสุลของตุรกีในสหรัฐ เพื่อลดจำนวนผู้ที่จะมาใช้บริการที่สถานทูตและสถานกงสุลของเรา โดยให้มีผลบังคับใช้ทันที"
ความสัมพันธ์ที่ร้าวฉาวระหว่างสหรัฐและตุรกี ซึ่งต่างก็เป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) นั้น มีขึ้นหลังจากมีการจับกุมตัวนายเมติน โทเปซ พนักงานท้องถิ่นของสถานกงสุลในเมืองอิสตันบูลเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ในข้อหาจารกรรมและมีส่วนพัวพันกับนายเฟตุลเลาะห์ กูเลน นักการศาสนาอิสลาม ซึ่งถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการก่อรัฐประหารในตรุกีเมื่อเดือนก.ค.ปีที่แล้ว โดยในเวลาต่อมาสถานทูตสหรัฐได้ออกมาประณามการจับกุมตัวนายโทเปซ โดยระบุว่า ตุรกีตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าวต่อนายโทเปซโดยไม่มีมูลความจริง และรัฐบาลสหรัฐรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งต่อการกระทำดังกล่าว