นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ยืนยันว่า สหรัฐและญี่ปุ่นจะร่วมกันยกระดับการกดดันเกาหลีเหนือขึ้นสู่ขั้นสูงสุด เพื่อบังคับให้เกาหลีเหนือยุติการทดสอบขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์
นอกจากนี้ ผู้นำจากทั้ง 2 ประเทศยังเห็นพ้องในเรื่องการรักษาความมั่นคงของภูมิภาค ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่าทั้ง 2 ประเทศมีความเห็นที่คล้ายคลึงกันในประเด็นที่จีนเริ่มเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สหรัฐและญี่ปุ่นต่างไม่ได้มีการพูดคุยกับเรื่องการค้าในระดับทวิภาคี
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายอาเบะได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือแบบฝ่ายเดียวรอบใหม่ โดยได้มีการสั่งระงับทรัพย์สินของบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือ 35 ราย
ด้านนายทรัมป์ ซึ่งได้เลือกเดินทางเยือนญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกในการเดินทางเยือน 5 ชาติเอเชีย กล่าวว่า "สหรัฐจะขอยืนเคียงข้างชาวญี่ปุ่น เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ"
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ในระหว่างการแถลงข่าวที่พระตำหนักอากะซากะ ซึ่งเป็นสถานที่รับรองแขกระดับสูงของรัฐบาลญี่ปุ่น นายทรัมป์ได้กล่าวว่า การทดสอบขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ "คือภัยคุกคามสันติภาพและความมั่นคงของโลก" พร้อมกล่าวว่า "ยุคแห่งการใช้ความอดทนได้สิ้นสุดลงแล้ว"
ขณะเดียวกัน นายอาเบะกล่าวว่า "เราขอสนับสนุนจุดยืนของคณะทำงานของปธน.ทรัมป์ ที่เดินหน้าพิจารณาทุกมาตรการในการจัดการกับเกาหลีเหนือ" เนื่องจากคณะทำงานของทรัมป์ได้แสดงท่าทีให้เห็นชัดเจนว่า สหรัฐพร้อมที่จะใช้ปฏิบัติการทางทหารตอบโต้เกาหลีเหนือ โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่แนวทางการทูตเพียงอย่างเดียว
นายอาเบะกล่าวว่า "เราเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า ญี่ปุ่นและสหรัฐจะร่วมมือกันทำให้เกาหลีเหนือยอมเปลี่ยนแปลงนโยบายประเทศ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อยกระดับการกดดันเกาหลีเหนือขึ้นสู่ขั้นสูงสุดร่วมกับประชาคมโลก"
นอกจากนี้ นายอาเบะยังย้ำอีกด้วยว่า ในขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่โลกควรจะใช้วิธีการเจรจากับเกาหลีเหนือ ซึ่งพยายามซื้อเวลาเพื่อพัฒนาขีปนาวุธของตนเอง