เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้การซัดทอดปธน.ทรัมป์ว่าเป็นผู้สั่งการให้เขาทำการติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัสเซียในช่วงที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีที่แล้ว นอกจากนี้ นายฟลินน์ยังยอมรับว่า เขาได้ให้การเท็จต่อสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับนายเซอร์เกย์ คิซยัค เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐ
ทั้งนี้ นายฟลินน์นับเป็นเจ้าหน้าที่คนแรกของคณะทำงานปธน.ทรัมป์ ที่ถูกระบุว่ามีความผิดข้อหาพัวพันในคดีติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัสเซียในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว
นายฟลินน์ให้การต่อศาล ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่า "การออกมายอมรับผิดของผมในครั้งนี้สะท้อนถึงการตัดสินใจซึ่งทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของครอบครัวและประเทศชาติ ผมขอแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของผม"
"มันเป็นความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่ต้องอดทนต่อการให้การเท็จเกี่ยวกับ ‘การขายชาติ’ และการกระทำที่ไม่สมควรในด้านอื่นๆอยู่นานหลายเดือน" นายฟลินน์ซึ่งถูก ปธน. ทรัมป์ ปลดออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนก.พ. กล่าวเพิ่มเติม
"คำให้การเท็จเป็นการกระทำที่ขัดต่อทุกสิ่งที่ผมเคยยึดถือและปฏิบัติ ในวันนี้ผมตระหนักแล้วว่า การกระทำเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผิดและผมต้องการทำทุกสิ่งให้ถูกต้องอีกครั้ง ด้วยความเชื่อในพระเจ้า"
ด้านนายโรเบิร์ต มุลเลอร์ ที่ปรึกษาพิเศษผู้รับผิดชอบคดีรัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง ได้ออกแถลงการณ์ก่อนหน้านายฟลินน์ในวันเดียวกัน โดยระบุถึงข้อกล่าวหาของนายฟลินน์ รวมถึงการให้ FBI เข้ามาสอบสวนการติดต่อของนายฟลินน์กับเจ้าหน้าที่รัสเซีย 2 ครั้ง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ปีที่แล้ว นายฟลินน์ได้ให้การเท็จว่า เขาไม่ได้ร้องขอให้นายเซอร์เกย์ คิซยัค เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐ ละเว้นการดำเนินการใดๆที่เป็นการตอบสนองต่อการคว่ำบาตรของสหรัฐเพิ่มเติม นอกจากนี้ เขายังให้การว่าจำไม่ได้ถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์กับนายเซอร์เกย์ ที่ระบุว่ารัสเซียตัดสินใจดำเนินการตามข้อเรียกร้องของเขา
นอกจากนี้ สำนักงานที่ปรึกษาพิเศษยังพบว่าเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2559 นายฟลินน์ให้การเท็จว่า เขาไม่ได้ร้องขอให้นายเซอร์เกย์เลื่อนการลงมติ หรือยกเลิกการพิจารณาลงมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และเขาจำไม่ได้เกี่ยวกับการสนทนาทางโทรศัพท์กับฝั่งรัสเซียหลังจากนั้น
อย่างไรก็ดี นายไท คอบบ์ ที่ปรึกษากฎหมายพิเศษประจำทำเนียบขาว ได้ออกแถลงการณ์ตามมาว่า รัฐบาลสหรัฐเองก็ตกเป็นเหยื่อคำให้การเท็จของนายฟลินน์มาโดยตลอด ทว่าก็มิได้ใส่ใจต่อนัยยะของการซัดทอดนั้นๆ
"คำให้การเท็จเหล่านั้นสร้างความวุ่นวายให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาว ซึ่งเป็นเหตุให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนก.พ. ที่ผ่านมา" นายคอบบ์เพิ่มเติม
"การออกมายอมรับความผิดในครั้งนี้มิได้ทำให้เจ้าหน้าที่คนใดติดร่างแหไปด้วย" นายคอบบ์กล่าว
ทางด้านปธน.ทรัมป์ได้ทวีตข้อความว่า เขาไม่เคยขอให้นายเจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการ FBI ยุติการสอบสวนนายไมเคิล ฟลินน์ ตามที่นายโคมีย์เคยให้การไว้
นายโคมีย์ เคยให้การไว้ว่า ปธน.ทรัมป์เป็นผู้ขอให้ตนกล่าวปฏิญานแสดงความจงรักภักดี หรือไม่เช่นนั้นก็ยุติการสืบสวนนายไมเคิล ฟลินน์
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้ระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า นายไมเคิล ฟลินน์ ถูกไล่ออกเพราะเขาได้โกหกต่อนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี และ FBI เอง
อนึ่ง นายฟลินน์ซึ่งเป็นอดีตนายทหารของสหรัฐ คือหนึ่งในบุคคลสำคัญรายแรก ๆ ที่ให้การสนับสนุนปธน.ทรัมป์ระหว่างการหาเสียง โดยเขาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของรัฐบาลทรัมป์ แต่ได้ถูกปลดจากตำแหน่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2560 หลังถูกกล่าวหาพัวพันการติดต่อกับทางการรัสเซียโดยมิชอบ