เมื่อวานนี้ศาลสูงสุดสหรัฐมีคำสั่งอนุญาตให้มีการบังคับใช้คำสั่งห้ามพลเมืองจาก 6 ประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามเดินทางเข้าสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยเสนอไว้ แต่ถูกระงับคำสั่งบางส่วนโดยศาลแห่งอื่น โดยคำสั่งนี้จะบังคับใช้กับพลเมืองทุกคนจากชาด อิหร่าน ลิเบีย โซมาเลีย ซีเรีย และเยเมน
ก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นได้มีคำตัดสินอนุญาตให้พลเมืองจากประเทศเหล่านี้เดินทางเข้าสหรัฐได้ หากบุคคลเหล่านั้นมีญาติที่แท้จริงอาศัยอยู่ในสหรัฐ
นอกจากนี้ คำสั่งแบนพลเมืองที่ปธน.ทรัมป์ เคยเสนอไว้ ยังรวมถึงพลเมืองเกาหลีเหนือและเจ้าหน้าที่รัฐบาลเวเนซุเอลาบางราย แต่คำสั่งห้ามพลเมืองของ 2 ประเทศนี้เข้าสหรัฐไม่ได้ถูกระงับโดยศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น จึงมีผลบังคับใช้ได้ตามวันที่กำหนดไว้
เมื่อรวมกับคำสั่งแบน 6 ชาติมุสลิมแล้วจึงเท่ากับว่า คำสั่งห้ามเข้าประเทศนั้นครอบคลุมพลเมืองจาก 8 ประเทศ
ด้านนายเจฟฟ์ เซสชันส์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เปิดเผยผ่านแถลงการณ์ว่า คำตัดสินของศาลสูงสุดถือเป็นชัยชนะที่จะมอบความมั่นคงและความปลอดภัยต่อชาวอเมริกัน
เมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ประกาศคำสั่งดังกล่าว คณะบริหารของปธน.ทรัมป์ชี้แจงเหตุผลที่เพิ่มเกาหลีเหนือเข้าไปในบัญชีรายชื่อใหม่ว่า เป็นเพราะเกาหลีเหนือไม่ได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐอย่างเพียงพอ อีกทั้งยังไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารกับสหรัฐ ขณะที่อีก 7 ประเทศที่เหลือก็ไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อช่วยสหรัฐในการคัดกรองคนเข้าเมืองเช่นกัน โดยรัฐบาลสหรัฐยืนยันว่า มาตรการแบนพลเมืองจาก 8 ประเทศนี้ ไม่ได้อิงเรื่องชาติกำเนิดหรือศาสนาแต่อย่างใด
ส่วนอิรัก ซึ่งแม้ไม่อยู่ในรายชื่อประเทศที่ถูกแบน แต่ประชาชนอิรักที่เดินทางเข้าสหรัฐจะถูกตรวจคัดกรองด้วยมาตรการที่เข้มงวดขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่า พลเมืองเหล่านั้นจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐ