เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะให้การรับรองกรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล และจะย้ายสถานทูตสหรัฐประจำอิสราเอลจากกรุงเทลอาวีฟ ไปยังกรุงเยรูซาเลม ในวันนี้
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การตัดสินใจดังกล่าวอาจทำให้ความตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อจุดยืนของสหรัฐ ในฐานะคนกลางด้านสันติภาพในประเด็นปาเลสไตน์และอิสราเอล
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวผ่านเทเลคอนเฟอเรนซ์ว่า ปธน.ทรัมป์จะพิจารณารับรองกรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล และย้ายสถานทูตสหรัฐจากกรุงเทลอาวีฟ ไปยังกรุงเยรูซาเลม พร้อมอธิบายว่า ปธน.ทรัมป์มองว่าเรื่องนี้เป็นการพิจารณาบนหลักความจริง ทั้งในด้านความจริงทางประวัติศาสตร์ และความจริงในยุคใหม่
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ปธน.ทรัมป์จะสั่งการให้กระทรวงต่างประเทศสหรัฐเริ่มกระบวนการย้ายสถานทูตสหรัฐออกจากสถานที่ตั้งปัจจุบันในกรุงเทลอาวีฟ ไปยังกรุงเยรูซาเลม ซึ่งการเคลื่อนย้ายดังกล่าวจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะแล้วเสร็จ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แม้สภาคองเกรสสหรัฐได้ผ่านร่างกฎหมาย Jerusalem Embassy Act เมื่อปี 2538 ให้ย้ายสถานทูตสหรัฐออกจากกรุงเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเลม แต่อดีตปธน.สหรัฐ ซึ่งรวมถึงจอร์จ ดับเบิลยู บุช, บิล คลินตัน และบารัค โอบามา ก็ได้ประวิงเวลาการย้ายสถานทูตสหรัฐไปยังเยรูซาเลม โดยพิจารณาถึงผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของประเทศ
สถานะของเยรูซาเลมยังคงเป็นหนึ่งในประเด็นความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ โดยจนถึงขณะนี้ นานาประเทศไม่ได้ให้การยอมรับว่าเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล และยังไม่มีประเทศใดเข้าไปตั้งสถานทูตในเยรูซาเลมเช่นกัน