รัฐมนตรีต่างประเทศจากชาติสมาชิกสันนิบาตอาหรับเปิดเผยว่า การที่สหรัฐตัดสินใจรับรองให้กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลนั้นผิดต่อหลักกฎหมาย และเป็นการกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงในภูมิภาคมากขึ้น
สันนิบาตอาหรับซึ่งจัดการประชุมฉุกเฉินขึ้นที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์เมื่ออวานนี้ เพื่อหารือถึงท่าทีของชาติอาหรับในประเด็นดังกล่าว ออกมาเตือนให้สหรัฐล้มเลิกการตัดสินใจ เนื่องจากเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
แถลงการณ์ของสันนิบาตอาหรับระบุว่า การตัดสินใจของสหรัฐไม่มีผลตามกฎหมาย และมันได้ทำลายความพยายามในการเสริมสร้างสันติภาพ ทำให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้น อีกทั้งกระตุ้นความโกรธ และผลักดันให้เกิดความรุนแรงและความไม่มั่นคงขึ้นในภูมิภาค
นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ประเทศต่างๆทั่วโลกยอมรับปาเลสไตน์เป็นรัฐอิสระ โดยมีเยรูซาเลมตะวันออกเป็นเมืองหลวง
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการให้กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล พร้อมกับเปิดเผยแผนการย้ายสถานทูตสหรัฐจากกรุงเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเลม โดยกล่าวว่า การตัดสินใจของเขาไม่ได้มีความประสงค์ที่จะขัดขวางกระบวนการสันติภาพระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์ โดยสหรัฐจะให้การสนับสนุนแนวทางในการตั้งรัฐปาเลสไตน์ และอิสราเอลควบคู่กัน หากทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องกัน
อย่างไรก็ดี การประกาศของปธน.ทรัมป์ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และคัดค้านอย่างหนักจากโลกอาหรับและประเทศมุสลิม
ทั้งนี้ อิสราเอลได้ครอบครองดินแดนฝั่งตะวันตกของกรุงเยรูซาเลมนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศขึ้นในปี 2491 และหลังจากที่อิสราเอลชนะสงคราม 6 วันเหนือชาติอาหรับในปี 2510 อิสราเอลก็ได้เข้ายึดครองดินแดนฝั่งตะวันออกของกรุงเยรูซาเลมจากจอร์แดน พร้อมกับประกาศรวมดินแดนทั้งสองฝั่ง และสถาปนากรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ประชาคมโลกไม่เคยยอมรับการประกาศแต่เพียงฝ่ายเดียวของอิสราเอล
ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ถือว่ากรุงเยรูซาเลมซึ่งถูกอิสราเอลยึดครองมาตั้งแต่สงครามปี 2510 นั้น เป็นเมืองหลวงแห่งรัฐในอนาคต รวมถึงมองว่าสถานะของกรุงเยรูซาเลมนั้นยังคงเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไข