ผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกากล่าวว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตัดสินใจรับรองให้กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลนั้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและชาติมุสลิมมีความยากลำบากมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการแยกสหรัฐออกจากการเจรจาสันติภาพในตะวันออกกลาง
แดร์เรลล์ เวสต์ นักวิเคราะห์อาวุโสจากสถาบันสถาบันบรู๊กกิงส์ กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า "การกระทำของปธน.ทรัมป์ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและชาติมุสลิมยากลำบากมากขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก พวกเขาคิดว่าสหรัฐกระทำการเพียงฝ่ายเดียว และมองว่าสหรัฐไม่ใช่ผู้ชี้ขาดในนโยบายตะวันออกกลาง"
การแสดงความเห็นในครั้งนี้มีขึ้นหลังจากปธน.ทรัมป์ได้ประกาศรับรองให้กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนัก
บรรดาผู้นำชาติอาหรับได้ประณามการตัดสินใจของปธน.ทรัมป์ โดยในการประชุมซึ่งมีขึ้นที่ประเทศตุรกี เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น ผู้นำบางคนกล่าวว่า สหรัฐไม่ควรมีบทบาทในกระบวนการสันติภาพระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อีกต่อไป
ดาเลีย ดาสซา เคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายสาธารณะตะวันออกกลางจาก Rand Center กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า "หากปธน.ทรัมป์ยอมรับแต่ข้อเรียกร้องในประเด็นเรื่องเยรูซาเลมจากทางฝั่งของอิสราเอลเพียงฝ่ายเดียว การตัดสินใจของเขาจะถูกประณามอย่างกว้างขวางทั้งในภูมิภาคและทั่วโลก" พร้อมเสริมอีกว่า "พันธมิตรใกล้เคียงอย่างจอร์แดนอาจเสี่ยงต่อการเกิดระเบิดโบลว์แบ็คขึ้นในประเทศ"
นักรัฐศาสตร์อาวุโสกล่าวว่า "นี่เป็นอีกครั้งที่สหรัฐถูกแยกออกจากนานาชาติด้วยผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ที่ไม่มีความชัดเจน นอกจากนี้มันยังเสี่ยงต่อการทำให้ความตึงเครียดระดับภูมิภาคลุกโหมมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความรู้สึกต่อต้านอเมริกัน"
ขณะที่ ประธานาธิบดีเรเซป ตอยยิบ เออร์โดกัน ของตุรกี กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีปิดประชุมองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ซึ่งมีสมาชิก 57 ประเทศ ว่า กระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลางที่นำโดยสหรัฐได้จบสิ้นลงแล้ว
ปธน.เออร์โดกันกล่าวว่า ไม่มีคำถามสำหรับสหรัฐในฐานะคนกลางของกระบวนสันติภาพอีกต่อไป เนื่องจากมันจบสิ้นไปแล้ว พร้อมเสริมว่าผู้นำชาติมุสลิมควรหารือกันในประเด็นดังกล่าวด้วยตัวเอง หรืออาจจะเสนอต่อองค์การสหประชาชาติ (UN)
เวสต์ยังกล่าวต่อไปว่า "การกระทำของปธน.ทรัมป์จะขัดขวางความพยายามในการสร้างสันติภาพที่กำลังดำเนินอยู่"
เขาระบุว่า "ทรัมป์ถูกมองว่าเป็นผู้สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในตะวันออกกลางและพื้นที่อื่นๆทั่วโลก การตัดสินใจย้ายสถานทูตไปยังกรุงเยรูซาเลมของเขาเป็นสร้างความรู้สึกเชิงลบต่อตัวของเขาเอง และเพิ่มความยุ่งยากให้กับการสร้างสันติภาพในตะวันออกสร้าง"
เวสต์กล่าวว่า ชาวปาเลสไตน์กำลังรู้สึกว่าสหรัฐเข้าข้างอิสราเอล "พวกเขาโกรธที่สหรัฐตัดสินใจเรื่องดังกล่าวแต่เพียงฝ่ายเดียว และรู้สึกมันไม่ยุติธรรมต่อพวกเขา"
นอกจากนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอิหร่านก็ได้ออกมาเรียกร้องให้ประเทศต่างๆคัดค้านข้อเรียกร้องในเรื่องกรุงเยรูซาเลมของอิสราเอล โดยนายพลมูฮัมหมัด บาเกรี ผู้บัญชาการทหารอิหร่านกล่าวว่า ชาติอาหรับและมุสลิมกำลังเผชิญบททดสอบครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ในเรื่องเยรูซาเลม
ทั้งนี้ อิหร่านแสดงได้ท่าทีไม่เห็นด้วยกับการที่อิสราเอลเข้าควบคุมเยรูซาเลมมานานหลายทศวรรษ และขู่ว่าจะใช้กำลังต่อต้านอิสราเอลเพื่อตอบสนองการเคลื่อนไหวของปธน.ทรัมป์
บทวิเคราะห์โดย แมททิว รัสลิง
สำนักข่าวซินหัวรายงาน