เกาหลีเหนือออกมาประกาศในวันนี้ว่า จะไม่ยอมรับมาตรการคว่ำบาตรชุดใหม่ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) อย่างเด็ดขาด พร้อมประกาศลั่นว่าจะเพิ่มการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (nuclear deterrence) เพื่อป้องกันตนเอง
โฆษกรายหนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือกล่าวว่า การคว่ำบาตรที่นำโดยสหรัฐนั้นเป็นการละเมิดอธิปไตยของประเทศอย่างร้ายแรง และยืนยันว่าอาวุธนิวเคลียร์ถือเป็นการป้องกันตนเอง ซึ่งไม่ขัดแย้งกับกฎหมายสากล
โฆษกระบุในแถลงการณ์ซึ่งเผยแพร่โดยสำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) ของทางการเกาหลีเหนือว่า เกาหลีเหนือมองว่ามติคว่ำบาตรโดยสหรัฐและเหล่าพันธมิตรนั้น เป็นการกระทำทางสงคราม ที่ละเมิดสันติภาพและเสถียรภาพในคาบสมุทรเกาหลีและภูมิภาค และขอปฏิเสธมติดังกล่าวโดยเด็ดขาด
ทั้งนี้ เนื่องจากเกาหลีเหนือได้ถอนตัวออกจากสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์แล้ว ดังนั้น โครงการพัฒนาอาวุธของประเทศจึงชอบด้วยกฎหมาย
โฆษกเตือนด้วยว่า หากสหรัฐต้องการอยู่อย่างปลอดภัย สหรัฐก็ควรตื่นขึ้นจากความฝันลมๆ แล้งๆ ที่จะทำให้เกาหลีเหนือยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งประเทศได้พัฒนาและผลิตขึ้นมาด้วยความยากลำบาก
นอกจากนี้ เขายังขู่ประเทศอื่นๆ ที่ลงมติสนับสนุนการคว่ำบาตร ให้เตรียมรับผลของการกระทำของตนเอง
การประกาศตอบโต้ของเกาหลีเหนือในครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ UNSC มีมติเป็นเอกฉันท์ 15 ต่อ 0 ในการผ่านมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือรอบใหม่ โดยลดการส่งออกน้ำมันไปยังเกาหลีเหนือ และเพิ่มความเข้มงวดในการสกัดการลักลอบขนส่งและใช้แรงงานเกาหลีเหนือในต่างประเทศ เพื่อตอบโต้เกาหลีเหนือกรณีทดสอบขีปนาวุธเมื่อวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา
นางนิกกี ฮาเลย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า มติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือรอบใหม่นี้มีความรุนแรงกว่ามาตรการครั้งก่อนที่ผ่านออกมาในเดือนก.ย. นอกจากนี้เธอยังเตือนเกาหลีเหนือด้วยว่า "เราจะตอบโต้พฤติการณ์ยั่วยุของระบอบคิมจองอึนด้วยมาตรการลงโทษจากนานาชาติต่อไป"
รายงานระบุว่า มติสหประชาชาติหมายเลข 2397 นี้ กำหนดให้ประเทศต่างๆลดการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นอื่นๆให้แก่เกาหลีเหนือรวม 89%
นอกจากนี้ข้อมติสหประชาชาติยังสั่งให้ระงับการส่งออกอุปกรณ์ในภาคอุตสาหกรรม เครื่องจักร ยานยนต์ขนส่ง และวัสดุต่างๆไปยังเกาหลีเหนือด้วย อีกทั้งกำหนดให้ประเทศต่างๆที่มีแรงงานเกาหลีเหนือในประเทศ เร่งส่งแรงงานเหล่านี้กลับเกาหลีเหนือภายใน 24 เดือนนับจากวันที่มาตรการคว่ำบาตรฉบับนี้มีผลบังคับใช้