กองทัพเมียนมาได้ออกมายอมรับว่า ทางกองทัพและชาวบ้านที่นับถือศาสนาพุทธในพื้นที่นั้น ได้สังหาร "ผู้ก่อการร้าย" ชาวมุสลิมโรฮิงญาที่ถูกจับเป็นเชลยไป 10 รายในรัฐยะไข่ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเมียนมา ในเหตุปะทะของทั้งสองฝ่ายเมื่อปีที่แล้ว
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกที่กองทัพเมียนมาได้ออกมายอมรับผิด นับตั้งแต่ที่ทางกองทัพได้เริ่มปราบปรามชาวมุสลิมโรฮิงญาด้วยความรุนแรงเมื่อเดือนส.ค.ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ชาวมุสลิมโรฮิงญากว่า 650,000 ต้องหลบหนีไปยังบังกลาเทศ
กองทัพเมียนมาได้เริ่มสอบสวนกรณีดังกล่าวตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. หลังจากที่มีการค้นพบร่างผู้เสียชีวิต 10 รายในหลุมศพขนาดใหญ่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของรัฐยะไข่
แถลงการณ์ที่ทางกองทัพได้โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ระบุว่า สมาชิกฝ่ายรักษาความปลอดภัยและชาวบ้านได้ยอมรับว่าตนได้สังหารบุคคลเหล่านี้ โดยผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย
กองทัพเมียนมาระบุว่า การสอบสวนตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่นำโดยพลโทอาย หวิน พบว่า สมาชิกฝ่ายรักษาความปลอดภัย 4 ราย และชาวบ้านอีก 2 ราย มีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหาร "ผู้ก่อการร้ายชาวเบงกาลี" 10 รายเมื่อวันที่ 2 ก.ย. ที่หมู่บ้านอินน์ดินในเมืองมองตอว์ของรัฐยะไข่
แถลงการณ์ระบุว่า บุคคลที่ถูกสังหาร 10 รายนี้ถูกจับเป็นเชลย หลัง "ผู้ก่อการร้ายชาวเบงกาลี" ประมาณ 200 รายได้ใช้มีดขนาดใหญ่และไม้ทำร้ายฝ่ายรักษาความปลอดภัย แต่กลุ่มผู้โจมตีได้วิ่งหนีไปเมื่อฝ่ายรักษาความปลอดภัยยิงปืนเตือน
ทั้งนี้ รัฐบาลเมียนมาไม่ยอมรับว่าชาวโรฮิงญาเป็นหนึ่งในหลายๆกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในประเทศ โดยทางรัฐบาลมองว่าชาวโรฮิงญาเป็นผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ ซึ่งเรียกกันว่าเป็นชาวเบงกาลี