กลุ่มผู้เชียวชาญด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ (UN) เรียกร้องสหรัฐให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาผู้อพยพเยาวชนหลายแสนคนที่เดินทางเข้าประเทศตั้งแต่ยังเด็ก โดยผู้อพยพกลุ่มนี้กำลังเผชิญกับการถูกขับออกจากสหรัฐ เนื่องจากความคุ้มครองภายใต้โครงการคุ้มครองผู้อพยพวัยเยาว์ที่เดินทางเข้ามาในสหรัฐฯ (DACA) จะสิ้นสุดลงในวันที่ 5 มีนาคมนี้
โครงการ DACA อนุญาตให้เหล่า "ดรีมเมอร์" หรือกลุ่มผู้อพยพวัยรุ่นที่เข้ามาอยู่อาศัยในสหรัฐตั้งแต่เด็กแต่ไม่มีการขึ้นทะเบียน สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้ และชะลอการเนรเทศเป็นเวลา 2 ปีสำหรับเยาวชนผู้อพยพตามคุณสมบัติที่เดินทางเข้ามาในประเทศขณะมีอายุต่ำกว่า 16 ปี ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาหรือสำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเข้ารับราชการทหาร และต้องไม่เคยก่ออาชญากรรมร้ายแรง
สำนักข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างแถลงการณ์ร่วมของผู้เชี่ยวชาญ UN ที่ระบุว่า "เรารู้สึกเป็นกังวลมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบที่เยาวชนซึ่งเข้าเมืองตั้งแต่ยังเด็กราว 800,000 คนจะได้รับจากการยุติโครงการ DACA เนื่องจากหากยังไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาได้ภายในต้นเดือนมีนาคม บรรดาผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการดังกล่าวจะถูกปลดออกจากสถานะทางกฎหมายและสิทธิ์ในการคุ้มครองจากการถูกเนรเทศอีกต่อไป
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญของ UN ยังเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐบังคับใช้มาตรการแก้ปัญหานี้เป็นวาระเร่งด่วน เพราะการสิ้นสุดโครงการ DACA อย่างกระทันหัน จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้อพยพ รวมถึงจะก่อให้เกิดความสูญเสียและเศร้าสะเทือนใจจากการที่ครอบครัวต้องแยกออกจากกัน ขณะเดียวกันยังทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจากการแสวงหาผลประโยชน์และถูกทำร้ายทารุณหากถูกเนรเทศไปยังประเทศที่พวกเขาไม่คุ้นเคย
ผู้เชี่ยวชาญจาก UN กล่าวทิ้งท้ายว่า สหรัฐควรดำเนินการตั้งแต่ตอนนี้เพื่อรับรองความคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชนของผู้อพยพที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ มากกว่าที่จะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย
ทั้งนี้ ผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการ DACA มักถูกเรียกว่าเหล่า "ดรีมเมอร์" โดยมากกว่า 3 ใน 4 ของพวกเขาเหล่านี้มาจากประเทศเม็กซิโก ที่เหลือส่วนใหญ่เดินทางมาจากประเทศเอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา และฮอนดูรัส