รัฐบาลสหรัฐกำลังเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีพฤติกรรมแยกตัวออกห่างจากประชาคมโลกในประเด็นสถานการณ์ความขัดแย้งครั้งรุนแรงในฉนวนกาซา และการเดินหน้าย้ายสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐจากเมืองเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเลม ท่ามกลางความวิตกกังวลจากนานาชาติ
ด้านนางนิกกี้ ฮาร์เลย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำองค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยระหว่างการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ในประเด็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา โดยระบุว่า "รัฐบาลสหรัฐเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อการสูญเสียของชาวปาเลสไตน์ แต่มีความรุนแรงเกิดขึ้นจำนวนมากทั่วทั้งภูมิภาคนี้ ขณะเดียวกันตนก็สังเกตเห็นถึงความสองมาตรฐานในห้องประชุมแห่งนี้"
นอกจากนี้ทูตสหรัฐประจำ UN ยังแสดงความคิดเห็นด้วยว่า การประชุมครั้งนี้มีการอภิปรายเกี่ยวกับอิหร่านน้อยจนเกินไป พร้อมกล่าวหารัฐบาลอิหร่านว่าเข้าแทรกแซงกิจการภายในของหลายประเทศ นอกเหนือจากฉนวนกาซา แต่รวมถึง ซีเรีย เยเมน และเลบานอน
ขณะที่นายริยาด มันซูร์ เอกอัครราชทูตปาเลสไตน์ประจำสหประชาชาติได้กล่าวหา UNSC ว่านิ่งเฉยต่อการที่ปาเลสไตน์ถูกยึดครอง พร้อมเรียกร้องให้สมาชิกทั้ง 15 ประเทศเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อยุติการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้น
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า พิธีเปิดสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐแห่งแรกในกรุงเยรูซาเลม ที่สหรัฐประกาศรับรองให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น เกิดขึ้นในวันเดียวกับเหตุปะทะอย่างรุนแรงระหว่างผู้ประท้วงต่อต้านชาวปาเลสไตน์และกองกำลังอิสราเอล บริเวณพรมแดนฉนวนกาซา และอิสราเอล โดยกองกำลังอิสราเอลเปิดฉากใช้กระสุนจริงและยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม จนเป็นเหตุทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตมากกว่า 60 คนและผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก
ทั้งนี้ ชาวปาเลสไตน์มองว่า "เยรูซาเลมตะวันออก" ซึ่งถูกยึดครองโดยอิสราเอลระหว่างสงครามหกวัน ในปีพ.ศ. 2510 นั้น เป็นเมืองหลวงของปาเลสไตน์ในอนาคต และมองว่าความเคลื่อนไหวของสหรัฐถือเป็นการสนับสนุนให้อิสราเอลครอบครองเยรูซาเลมทั้งเมือง