ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐออกมาส่งสัญญาณว่า สหรัฐอาจลดความเข้มงวดเกี่ยวกับแผนการจำกัดการลงทุนจากจีนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสหรัฐ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า กระทรวงการคลังสหรัฐกำลังร่างกฎหมายเพื่อห้ามไม่ให้บริษัทที่มีชาวจีนถือหุ้นอยู่อย่างน้อย 25% เข้าซื้อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่มีความสำคัญในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ นอกจากนี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติและกระทรวงพาณิชย์ยังได้ร่วมกันจัดทำแผนเพื่อควบคุมการส่งออกให้เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันการส่งออกเทคโนโลยีที่มีความสำคัญในภาคอุตสาหกรรมไปยังจีน
เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้สั่งให้กระทรวงการคลังสหรัฐกำหนดมาตรการจำกัดการลงทุนของจีนในบริษัทสัญชาติสหรัฐ และในเดือนพ.ค. ปธน.ทรัมป์ก็ได้ออกมากล่าวว่า "สหรัฐจะออกข้อบังคับด้านการลงทุนที่จำเป็น และจะยกระดับการควบคุมการส่งออกของผู้ประกอบการชาวจีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อองค์กรด้านเทคโนโลยีที่สำคัญของสหรัฐ"
อย่างไรก็ตาม มีหลายฝ่ายออกมาแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับแนวทางจำกัดของลงทุนของปธน.ทรัมป์ โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลัง ได้เสนอให้มีการมอบหมายให้คณะกรรมาธิการตรวจสอบการลงทุนจากต่างประเทศของสหรัฐ (CFIUS) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบการครอบครองบริษัทสหรัฐของชาวต่างชาติที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ขณะที่หลายฝ่ายต้องการให้สหรัฐใช้ไม้แข็งกับจีน อาทิ การใช้กฎหมายว่าด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศปีค.ศ. 1997 (International Emergency Economic Powers Act of 1997) เพื่อสกัดกั้นการลงทุนด้านเทคโนโลยีของจีนในสหรัฐ และป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
"เรามีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมากที่สุดในโลก ซึ่งมีหลายชาติได้ลอกเลียนแบบและขโมยความคิดของเราไป อย่างไรก็ตาม เรามีนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจ มีมันสมองที่ชาญฉลาด และเราจะปกป้องเทคโนโลยีของเรา" ปธน.ทรัมป์กล่าว "เราสามารถดำเนินการได้ผ่านการตรวจสอบของ CFIUS"
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวอีกด้วยว่า จีนไม่ได้เป็นประเทศเดียวที่สหรัฐตั้งเป้าจำกัดการลงทุน พร้อมกล่าวว่า สหรัฐเป็นประเทศที่ฉลาดและมีเจ้าหน้าที่ที่ชาญฉลาดทำงานอยู่ในซิลิคอน วัลเลย์ และสหรัฐไม่ต้องการจีนหรือประเทศอื่นๆ