นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศสมัยที่ 2 ในปี 2563 แม้ว่าจะต้องเผชิญกับข้อพิพาทหลายด้านจนทำให้มีคะแนนนิยมลดลงบ้าง เพราะเศรษฐกิจสหรัฐแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง และฐานเสียงยังคงมั่นคง โดยผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐซึ่งจะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 6 พ.ย.นี้ จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะบ่งชี้อนาคตของปธน.ทรัมป์
รายงานระบุว่า แม้คะแนนนิยมของปธน.ทรัมป์ดูจะไม่กระเตื้องขึ้นจากระดับ 40 กว่า ๆ มาตั้งแต่ดำรงตำแหน่งได้ไม่นาน แต่ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐนั้น มีประธานาธิบดีเพียง 2 คนนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีโอกาสดำรงตำแหน่งเพียงวาระเดียว
นอกจากนี้ ยังเป็นเรื่องยากที่พรรคเดโมแครตจะขับไล่ปธน.ทรัมป์ออกจากตำแหน่งด้วย เพราะเดโมแครตต้องได้เสียงข้างมาก 2 ใน 3 ในวุฒิสภาเพื่อดำเนินการดังกล่าว
ทั้งนี้ การเลือกตั้งกลางเทอมจะเกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดีสหรัฐดำรงตำแหน่งมาได้ครึ่งทาง (2 ปี จากวาระ 4 ปี) โดยจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาบางส่วน สำหรับการเลือกตั้งกลางเทอมในวันที่ 6 พ.ย.นี้จะมีการชิงที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 435 ที่นั่ง และวุฒิสภา 35 ที่นั่ง ซึ่งถือเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกันที่มีต่อผลงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะแสดงถึงความชอบธรรมที่ประธานาธิบดีจะดำรงตำแหน่งต่อไป โดยเฉพาะประธานาธิบดีผู้ยึดมั่นในนโยบาย "America First"
ผลสำรวจความคิดเห็นและบรรดานักวิเคราะห์การเมืองมองว่า พรรคเดโมแครตไม่น่าจะคว้าเสียงส่วนใหญ่ได้ทั้งสองสภา แต่น่าจะคว้าคะแนนเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะทำให้การบริหารประเทศของปธน.ทรัมป์ยากลำบากขึ้นในอีกสองปีข้างหน้า เพราะการผ่านกฎหมายต้องผ่านทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา อย่างไรก็ดี หากพรรครีพับลิกันสามารถรักษาที่นั่งในสภาเอาไว้ได้เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ก็จะทำให้ปธน.ทรัมป์สามารถยืดอกและประกาศได้เต็มปากว่า ชาวอเมริกันสนับสนุนให้เขาเป็นประธานาธิบดีต่อไป