หน่วยงานบางส่วนของสหรัฐเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์เป็นวันที่ 3 แล้วเมื่อวานนี้ และยังดูไม่มีความคืบหน้าชัดเจน หลังจากวุฒิสภาสหรัฐไม่อนุมัติร่างกฎหมายที่บรรจุงบประมาณสำหรับก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกวงเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ตามความประสงค์ของปธน.ทรัมป์ แม้ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่าทางทำเนียบขาวยื่นข้อเสนอลดวงเงินงบสร้างกำแพงก็ตาม
นายชัค ชูเมอร์ แกนนำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาสหรัฐ และนางแนนซี เพโลซี ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเดโมแครต ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อทำเนียบขาว โดยมองว่าสิ่งที่ทำเนียบขาวได้เปิดเผยไว้นั้นไม่ตรงกับความต้องการของปธน.ทรัมป์ ทำให้สภาคองเกรสไม่ทราบจุดยืนที่แน่นอนของรัฐบาลในประเด็นนี้
ก่อนหน้านี้ นายมิค มัลวานีย์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณแห่งทำเนียบขาวของสหรัฐเปิดเผยว่า ทางทำเนียบขาวได้ยื่น "ข้อเสนอใหม่" ต่อนายชัค ชูเมอร์ แกนนำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาสหรัฐ ซึ่งข้อเสนอใหม่นี้ดูมีท่าทีที่อ่อนข้อมากขึ้นในเรื่องงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐกับเม็กซิโกที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยให้คำมั่นไว้สมัยหาเสียง
นายมัลวานีย์ ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ว่า "ฝั่งนั้นยอมที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้ ฝั่งเรายืนยันที่ 5 พันล้านดอลลาร์ไม่กี่วันก่อนหน้านั้น ส่วนตัวเลขใหม่ที่เราได้เสนอให้เมื่อวานนี้อยู่ระหว่างสองตัวเลขข้างต้น"
สำหรับ "รั้วเหล็ก" ที่ปธน.ทรัมป์ได้ระบุไว้ในทวิตเตอร์นั้น นายมัลวานีย์ เปิดเผยว่า "นี่คือสิ่งที่เราอยากสร้าง" พร้อมกล่าวเสริมว่า "ไม่จำเป็นต้องเป็นกำแพงคอนกรีตสูง 30 ฟุต"
อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงดังกล่าวดูไม่ตรงกับปธน.ทรัมป์ ซึ่งได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนเมื่อคืนนี้ว่า การเจรจาเพื่อยุติภาวะชัตดาวน์นั้น "ไม่มีอะไรใหม่" และสหรัฐ "จำเป็นต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดนต่อไป"
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ ยังได้ระบุในทวิตเตอร์ส่วนตัวหลังจากนั้นว่า ตนเพิ่ง "อนุมัติสัญญาสร้างกำแพงอีกส่วนหนึ่งในรัฐเท็กซัสโดยมีระยะทางรวมกัน 115 ไมล์" โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังปธน.ทรัมป์ได้พบปะกับเจ้าหน้าที่จากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ตั้งแต่พ้นเที่ยงคืนวันศุกร์ที่ 21 ธ.ค.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเที่ยงวันเสาร์ที่ 22 ธ.ค.ตามเวลาไทย หลังจากวุฒิสภาสหรัฐไม่อนุมัติร่างกฎหมายที่บรรจุงบประมาณสำหรับก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกวงเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์
หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐราวหนึ่งในสี่ได้รับผลกระทบ ทั้งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตร กระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงยุติธรรม รวมถึงอุทยานแห่งชาติต่างๆ