ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้ออกมาขู่ว่า จะปิดชายแดนภาคใต้ของสหรัฐอีกครั้งเมื่อวานนี้ โดยอ้างว่า เม็กซิโก และหลายประเทศในอเมริกากลาง ไม่สามารถสกัดกั้นผู้อพยพผิดกฎหมายในการลักลอบเข้าสู่สหรัฐได้
"เม็กซิโกไม่ได้ทำอะไรเลยที่จะช่วยหยุดยั้งการหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพผิดกฎหมายเข้ามายังประเทศของเรา พวกเขาดีแต่พูด แต่ไม่ทำ" ปธน.ทรัมป์ระบุในทวิตเตอร์ "เช่นเดียวกัน ฮอนดูรัส กัวเตมาลา และ เอลซัลวาดอร์ ก็เอาเงินของเราไปเป็นเวลาหลายปี และไม่ได้ทำอะไรเลย"
"เราอาจจะปิดชายแดนภาคใต้" ปธน.ทรัมป์ทวีต
ทั้งนี้ ความเห็นดังกล่าวของปธน.ทรัมป์ตรงกันข้ามกับความเห็นของนางคริสเจน นีลเสน รมว.กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ ซึ่งกล่าวขอบคุณฮอนดูรัส กัวเตมาลา และเอลซัลวาดอร์ เมื่อวานนี้ สำหรับความพยายามที่จะช่วยสหรัฐรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดน
"อเมริกาแบ่งปันข้อมูลร่วมกันกับประเทศในอเมริกากลางในการเผชิญหน้ากับความท้าทายเหล่านี้" นางนีลเสนระบุในแถลงการณ์
"เราต่างต้องการบังคับใช้กฎหมายของพวกเรา สร้างความมั่นใจว่าการอพยพเข้าประเทศของผู้อพยพเป็นไปอย่างปลอดภัยและเป็นระเบียบเรียบร้อย ปกป้องชุมชนของเรา อำนวยความสะดวกด้านการค้าและการเดินทางที่ถูกกฎหมาย สนับสนุนประชากรที่อยู่ในสถานภาพที่อ่อนแอ สกัดกั้นการลักลอบขนยาเสพติดที่อันตรายและผิดกฎหมาย รวมถึงรักษาความปลอดภัยชายแดนของเรา" นางนีลเสนกล่าวเสริม
นายแอนเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ประธานาธิบดีเม็กซิโก ได้ออกมาปฏิเสธการวิพากษ์วิจารณ์ของปธน.ทรัมป์เมื่อวานนี้
"เราเคารพในจุดยืนของปธน.ทรัมป์ และเราจะช่วยเหลือ" นายโลเปซ โอบราดอร์กล่าวกับผู้สื่อข่าว "นี่เป็นปัญหาของสหรัฐ หรือเป็นปัญหาของประเทศในอเมริกากลาง มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเราชาวเม็กซิกัน ไม่ใช่"
ทั้งนี้ คาดว่า ปธน.ทรัมป์จะแถลงเกี่ยวกับประเด็นการอพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่เมืองแกรนด์ แรพิดส์ รัฐมิชิแกน ในวันพฤหัสบดีนี้ตามเวลาสหรัฐ
ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ได้ขู่ที่จะปิดชายแดนภาคใต้ของสหรัฐเมื่อปลายปีที่แล้ว เมื่อทำเนียบขาวและสมาชิกสภาครองเกรสของพรรคเดโมแครตไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการสร้างกำแพงกั้นตลอดแนวชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2559
สมาชิกของพรรคเดโมแครตปฏิเสธที่จะทำตามข้อเรียกร้องของปธน.ทรัมป์ โดยโต้แย้งว่าปธน.ทรัมป์ใช้สถานการณ์ชายแดนเพื่อประโยชน์ทางการเมือง และระบุว่า การสร้างกำแพงนั้นใช้ค่าใช้จ่ายสูงและไม่มีความจำเป็น
ปธน.ทรัมป์จึงตอบโต้ด้วยการไม่ลงนามในกฎหมายงบประมาณรายจ่าย ส่งผลให้หน่วยงานบางส่วนของรัฐบาลสหรัฐต้องปิดทำการหรือชัตดาวน์นานเป็นประวัติการณ์ถึง 35 วัน ซึ่งสิ้นสุดลงในเดือนม.ค.
ต่อมาปธน.ทรัมป์ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติในช่วงกลางเดือนก.พ. เพื่อหาทางโยกเงินงบประมาณสำหรับการสร้างกำแพง ซึ่งสมาชิกพรรคเดโมแครตได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง และยังทำให้สมาชิกพรรครีพับลิกันมีความวิตกกังวลมากขึ้นด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐซึ่งพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากนั้น ประสบความล้มเหลวในช่วงต้นสัปดาห์ที่จะล้มล้างสิทธิ์ยับยั้งหรือวีโต้ของปธน.ทรัมป์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ปธน.ทรัมป์ได้ใช้สิทธิ์ดังกล่าวคัดค้านมติของรัฐสภาสหรัฐที่จะขัดขวางการประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติของตนเอง