พรรคสังคมนิยม (PSOE) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลสเปนภายใต้การนำของนายเปรโด ซานเชซ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน สามารถกวาดคะแนนนำในการเลือกตั้งทั่วไปของสเปนที่จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยได้คะแนนเสียงราว 28.7% และได้ที่นั่งในสภา 123 ที่นั่ง จากทั้งหมด 350 ที่นั่ง
บรรดาผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ความพ่ายแพ้ของพรรคประชาชน (People's Party - PP) และความแตกแยกของพรรคฝ่ายขวาทำให้พรรคสังคมนิยมคว้าชัยชนะได้อีกครั้งในการเลือกตั้งทั่วประเทศ
ความพ่ายแพ้ของพรรคประชาชน (PP)
พรรค PP สูญเสียคะแนนเสียงราว 3.5 ล้านเสียง โดยได้ที่นั่งในสภา 71 ที่นั่ง และได้คะแนนเสียง 16% ลดลงจากระดับ 33.01% ที่เคยได้รับในการเลือกตั้งในเดือนมิ.ย. 2559
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการคอร์รัปชันที่รุมเร้าพรรค PP อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงการจัดการกับวิกฤตแคว้นกาตาลุญญาก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้พรรค PP ประสบกับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้
ในเดือนพ.ค. 2561 พรรค PP ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหารับผลประโยชน์ทางการเงินจาก "Gurtel" ซึ่งเป็นคดีอื้อฉาวเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน ส่งผลให้นายซานเชซจัดการลงมติไม่ไว้วางใจจนทำให้พรรค PSOE สามารถขับไล่รัฐบาลพรรค PP ของนายกรัฐมนตรีมาเรียโน ราฮอย เมื่อช่วงต้นเดือนมิ.ย. 2561
นอกจากนี้ พรรค PP ยังสูญเสียคะแนนเสียงในการจัดการกับวิกฤตแคว้นกาตาลุญญาด้วย
นายไจมี เฟอร์ริ ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Complutense de Madrid เปิดเผยกับซินหัวว่า "รัฐบาลของนายราฮอยขาดเจตนารมย์ทางการเมืองที่จะแก้ไขสถานการณ์ และยังลงมือทำเมื่อสายเกินไป"
นายปาโบล คาซาโด วัย 38 ปี ซึ่งขึ้นมาเป็นผู้นำพรรค PP แทนนายราฮอย ได้แก้ปัญหาด้วยการทำให้พรรคเปลี่ยนไปเป็นพรรคฝ่ายขวา ซึ่งนายราฟาเอล บาร์เบรา ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารทางการเมืองของมหาวิทยาลัยฟรานซิสโก เดอ วิตอเรีย กล่าวว่า กลยุทธ์นี้ทำให้พรรค PP ติดกับอยู่ระหว่างพรรค Ciudadanos ซึ่งเป็นพรรคกลาง-ขวา กับพรรค Vox ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวาจัด
พรรคฝ่ายซ้ายแข็งแกร่ง ขณะฝ่ายขวาแตกแยก
ในขณะที่พรรค POSE สามารถวางตำแหน่งของพรรคในฐานะพรรคใหญ่ของฝ่ายซ้าย และพรรค Unidos-Podemos ซึ่งเป็นพรรคซ้ายจัดพ่ายแพ้นั้น สถานการณ์สำหรับพรรคฝ่ายขวากลับแตกต่างอย่างมาก เนื่องจากคะแนนเสียงแตกแยกระหว่าง 3 พรรค
แทนที่จะร่วมกันสนับสนุนต่อพรรค PP เหมือนการเลือกตั้งครั้งก่อน แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ คะแนนเสียงของฝ่ายขวาได้ถูกแบ่งระหว่างพรรค PP พรรค Ciudadanos และพรรค Vox
ทั้ง 3 พรรคได้คะแนนเสียงรวมกัน 11,169,796 เสียง ขณะที่พรรค PSOE และ พรรค Unidos Podemos ได้คะแนนเสียงรวมกัน 11,213,684 เสียง
การที่พรรค Vox ซึ่งเป็นฝ่ายขวาจัดได้ที่นั่งในสภา 24 ที่นั่ง และได้รับคะแนนเสียงกว่า 2.5 ล้านเสียงนั้น ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการเลือกตั้ง โดยนายบาร์เบราเปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัวว่า พรรค Vox ได้รับการสนับสนุน อันเนื่องมาจากการรับมือกับวิกฤตกาตาลุญญา
นายบาร์เบรากล่าวว่า "พรรค Vox ระบุว่า จะปกป้องความเป็นหนึ่งเดียวของสเปน ขณะที่การเคลื่อนไหวเพื่อประกาศเอกราชของแคว้นกาตาลุญญานั้น สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนชาวสเปนจำนวนมาก และพรรค Vox ได้วางตำแหน่งของตัวเองไว้ที่หัวของประชาชนเหล่านั้น"
เป็นที่ชัดเจนว่าพรรค Vox ดึงคะแนนเสียงเป็นจำนวนมากมาจากพรรค PP แต่ความวิตกเกี่ยวกับฝ่ายขวาจัด ได้ส่งผลให้มีการเทคะแนนให้กับพรรคฝ่ายซ้าย
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในขณะนี้
นายกรัฐมนตรีซานเชซ กล่าวว่า พรรค PSOE "ได้มาซึ่งอนาคต และทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง" หลังจากที่พรรคมีคะแนนนำในการเลือกตั้งทั่วประเทศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ขณะนี้ นายซานเชซมีภารกิจในการจัดตั้งรัฐบาล เขาจำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนส่วนใหญ่ 176 เสียงในรัฐสภา และอาจจะจำเป็นที่จะต้องได้รับการสนับสนุนจากมากกว่า 1 พรรค
นายพาโบล อิเกิลเซียส ผู้นำพรรค Unidos-Podemos ระบุว่า เต็มใจที่จะเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม แต่ที่นั่งของพรรค PSOE และพรรค Podemos รวมกันแล้ว ก็ยังทำให้นายซานเชซจำเป็นต้องหาหุ้นส่วนทางการเมืองอื่นๆ
ทางเลือกหนึ่งก็คือการจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรค Ciudadanos แม้ว่าดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก เนื่องจากนายอัลเบิร์ต ริเวรา ผู้นำพรรค Ciudadanos ปฏิเสธการร่วมรัฐบาลกับนายซานเชซในระหว่างการรณรงค์หาเสียง
ข้อตกลงกับพรรค Ciudadanos จะไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากกลุ่มรากหญ้าและสมาชิกของพรรคตามท้องถนนได้ตะโกนว่า "ไม่เอาริเวรา" ขณะที่นายซานเชซแถลงเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่านายซานเชซจะทำข้อตกลงกับใครก็ตาม คาดว่ากระบวนการเจรจาต่อรองเพื่อจัดตั้งรัฐบาล จะต้องใช้เวลาอีกนาน