นายจาง หมิง เอกอัคราชทูตจีนประจำสหภาพยุโรป (EU) เตือนว่า รัฐบาลจีนอาจจะดำเนินการตอบโต้สหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายรายใหญ่ของจีน
นายจางได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวานนี้ว่า การกระทำดังกล่าวของปธน.ทรัมป์ถือเป็นความผิดพลาด และอาจจะถูกจีนใช้มาตรการตอบโต้ พร้อมระบุว่า สิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมายและผลประโยชน์ของบริษัทจีนได้รับความเสียหาย ซึ่งรัฐบาลจีนคงจะไม่นิ่งเฉยในเรื่องนี้
ทั้งนี้ นายจางกล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวของสหรัฐมีแรงจูงใจทางการเมือง และใช้มาตรการควบคุมการส่งออกอย่างไม่เหมาะสม พร้อมระบุว่า รัฐบาลสหรัฐพยายามปิดกั้นบริษัทหัวเว่ยผ่านทางการบริหารงานของรัฐ
นอกจากนี้ เอกอัคราชทูตจีนประจำ EU ยังกล่าวด้วยว่า มีความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะใช้มาตรการปกป้องสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมายและผลประโยชน์ของบริษัทจีน พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐยุติการดำเนินการที่เป็นภัยต่อจีน เพื่อหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์อันร้าวฉานระหว่างสองประเทศ
ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติเพื่อห้ามบริษัทของสหรัฐจากการใช้เทคโนโลยีและบริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของบริษัทที่สหรัฐเชื่อว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งพุ่งเป้าอย่างชัดเจนไปที่บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ของจีน
ส่วนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา บริษัทอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลได้ระงับการทำธุรกิจกับบริษัทหัวเว่ย หลังจากที่สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคง (BIS) ซึ่งสังกัดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้รวมหัวเว่ยและบริษัทในเครือไว้ในรายชื่อบริษัทใน "Entity List" ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อของบริษัทด้านการสื่อสารโทรคมนาคมที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้บริษัทของสหรัฐเข้าซื้ออุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะส่งผลให้สมาร์ทโฟนของหัวเว่ยไม่สามารถอัพเดตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ตลอดจนเข้าถึงแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่าง Google Play Store, Gmail และ YouTube ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของกูเกิลได้
นอกเหนือจากกูเกิลแล้ว บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐ เช่น ควอลคอมม์ บรอดคอม ก็ได้ออกมาประกาศระงับการดำเนินธุรกิจกับหัวเว่ย ตามคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐ