เจ้าหน้าที่ตัวแทนเจรจาการค้าของสหรัฐและเม็กซิโกได้เสร็จสิ้นการประชุมแล้วในวันพุธตามเวลาสหรัฐ โดยทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในประเด็นการค้า และประเด็นผู้อพยพ ซึ่งการเจรจาดังกล่าวมีขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนที่มาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกจะมีผลบังคับใช้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีต่อสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากเม็กซิโก ในอัตรา 5% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. และจะเพิ่มขึ้นทุกเดือนจนแตะระดับ 25% ในวันที่ 1 ต.ค. ถ้าเม็กซิโกไม่สามารถสกัดการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายที่ข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐ
คณะผู้แทนการเจรจาของเม็กซิโก ซึ่งนำโดยนายมาร์เซโล เอบราร์ด รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุมที่ทำเนียบขาวเป็นเวลา 90 นาที ร่วมกับเจ้าหน้าที่สหรัฐ ซึ่งประกอบด้วยนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ และนายเควิน แมคอาลีนาน รักษาการรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
นายเอบราร์ดได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐและเม็กซิโกไม่ได้เจรจาหารือกันในประเด็นภาษีนำเข้า แต่มุ่งเน้นไปที่ประเด็นผู้อพยพ พร้อมกับยืนยันว่า การเจรจาจะยังคงดำเนินต่อไปในวันนี้
นอกจากนี้ นายเอบราร์ดยังได้เปิดเผยถึงมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างสองฝ่าย โดยระบุว่า สหรัฐต้องการให้มาตรการต่างๆมีผลบังคับใช้ในทันที แต่ทางเม็กซิโกต้องการที่จะดำเนินมาตรการในระยะยาว ไม่ใช่แค่เพียงใช้มาตรการลงโทษเท่านั้น