ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ กล่าวว่า แม้สงครามการค้ากับจีนจะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงอย่างต่อเนื่อง แต่ที่เป็นเช่นนี้เพราะจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับแนวทางปฏิบัติทางเศรษฐกิจของจีน
ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า "ผมจะบอกคุณให้ ถ้าผมไม่ทำอะไรกับจีนเลย ตลาดหุ้นของเราคงพุ่งขึ้นไปแล้วกว่าหมื่นจุดจากที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่มีความจำเป็นที่เราต้องทำเช่นนี้ เรื่องนี้เป็นอะไรที่อยู่เหนือการควบคุม รวมทั้งพวกเขาด้วยที่คุมไม่ได้เหมือนกัน"
ปธน.ทรัมป์ กล่าวต่อไปว่า "แล้วเราจะได้เห็นกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากพวกเขายอมกลับมาเจรจาการค้ากับเรา พวกเขาก็จะต้องยอมรับข้อเสนอของเราให้ได้ หรือถ้าพวกเขาจะไม่ยอม นั่นก็ไม่ได้เป็นอะไร"
การแสดงความเห็นดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ เผยแพร่รายงานระบุถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้น จากการที่ปธน.ทรัมป์ขยันทวีตข้อความลงบนทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาเอง
รายงานระบุว่า "นับตั้งแต่ปี 2559 วันใดก็ตามที่ปธน.ทรัมป์ทวีตมากกว่า 35 ข้อความ (90 เปอร์เซ็นต์ไทล์) ตลาดหุ้นจะมีผลตอบแทนเป็นลบ แต่ในวันที่ปธน.ทรัมป์ทวีตน้อยกว่า 5 ข้อความ (10 เปอร์เซ็นต์ไทล์) ผลตอบแทนจะเป็นบวก ซึ่งค่าทางสถิติถือว่ามีนัยสำคัญ"
"การเจรจาทางการค้า การรณรงค์ทางการเมือง และการทวีตของปธน.ทรัมป์ นับตั้งแต่เรื่องของจีน, นโยบายเฟด และนโยบายภาษี ได้ส่งผลให้ตลาดเกิดความผันผวน โดยการที่ปธน.ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีครั้งใหม่ในเดือนที่แล้วได้สร้างความเสี่ยงต่อการคาดการณ์กำไรต่อหุ้นของเราในปีนี้ที่ระดับ +2%/+7% และส่งผลกระทบทางอ้อมอย่างมีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภค" รายงานระบุ
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าการทวีตของปธน.ทรัมป์เกี่ยวกับการทำสงครามการค้ากับจีน หรือเกี่ยวกับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น แต่ดัชนีดาวโจนส์ได้ทะยานขึ้น 42% นับตั้งแต่ที่ปธน.ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย.2559 และพุ่งขึ้น 31% นับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค.2560