Analysis: ผู้เชี่ยวชาญชี้การประกาศไต่สวนเพื่อถอดถอน "ทรัมป์" อาจส่งผลตรงกันข้ามกับที่เดโมแครตคาดหวัง

ข่าวการเมือง Wednesday September 25, 2019 16:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ผู้นำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้สร้างความประหลาดใจอย่างมากด้วยการประกาศไต่สวนอย่างเป็นทางการ เพื่อถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า อาจให้ผลในทางตรงกันข้าม และลงเอยด้วยการที่ฐานเสียงของปธน.ทรัมป์ออกมาสนับสนุนทรัมป์อย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งปี 2563

นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐแถลงทางโทรทัศน์เมื่อวานนี้ว่า การกระทำของปธน.ทรัมป์นั้นละเมิดรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง และกล่าวหาปธน.ทรัมป์ว่า ทรยศต่อการสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง และทรยศต่อความมั่นคงของประเทศชาติ

หลังจากที่มีความคิดที่จะถอดถอนปธน.ทรัมป์มานานหลายเดือน นางเพโลซีก็ได้ตัดสินใจดำเนินการดังกล่าว เนื่องจากสมาชิกพรรคเดโมแครตมากกว่า 2 ใน 3 ของสภาผู้แทนฯสหรัฐได้ผลักดันให้มีการไต่สวนเพื่อถอดถอนปธน.ทรัมป์ ท่ามกลางแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการใช้อำนาจในทางมิชอบของปธน.ทรัมป์

การไต่สวนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีรายงานก่อนหน้านี้ว่า ปธน.ทรัมป์ได้ขู่ที่จะระงับการให้ความช่วยเหลือยูเครนเพื่อกดดันให้ยูเครนสอบสวนลูกชายของนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งเป็นคู่แข่งของปธน.ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2563 โดยลูกชายของนายไบเดนมีการทำธุรกิจในยูเครน

ส.ส.พรรคเดโมแครตระบุว่า ปธน.ทรัมป์ทรยศต่อความมั่นคงของประเทศชาติ เพื่อผลประโยชน์ทางเมือง ซึ่งส.ส.เหล่านี้เชื่อว่าเป็นความผิดที่สามารถถอดถอนประธานาธิบดีออกจากตำแหน่งได้

ด้านทำเนียบขาวได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นเรื่องปกติที่พรรคเดโมแครตจะพยายามหาทางถอดถอนประธานาธิบดี

ในแถลงการณ์ที่เปิดเผยเมื่อวานนี้นั้น คณะกรรมาธิการแห่งชาติของพรรครีพับลิกัน (RNC) ระบุว่า การกล่าวหาดังกล่าวเป็นการหลอกลวง

RNC ระบุว่า "แทนที่จะสนับสนุนความพยายามในการถอดถอนซึ่งไม่มีมูลความจริง นายไบเดนควรที่จะตอบคำถามสำหรับกรณีอื้อฉาวที่มีอยู่ ได้แก่ เหตุใดบริษัทยูเครนแห่งหนึ่งถึงต้องจ่ายเงิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนให้กับลูกชายของนายไบเดนเพื่อล็อบบี้รัฐบาลของนายบารัค โอบามา และนายโจ ไบเดน และเหตุใดนายไบเดนถึงข่มขู่ยูเครนให้ปลดพนักงานอัยการรายหนึ่งที่ทำการสอบสวนบริษัทดังกล่าว

นายดาร์เรล เวสต์ นักวิชาการอาวุโสของสถาบันบรูกกิ้งส์เปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัวว่า "เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเพิกเฉยกับสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่ผิดจรรยาบรรณของปธน.ทรัมป์" และนั่นทำให้พรรคเดโมแครตผลักดันกระบวนการถอดถอน

ทั้งนี้ ยังไม่ทราบว่าข้อกล่าวหาของพรรคเดโมแครตจะสมเหตุสมผลหรือไม่ และพวกเขาจะพบความผิดที่ร้ายแรงพอหรือไม่ที่จะถอดถอนประธานาธิบดี ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า การถอดถอนประธานาธิบดีจะช่วยให้พวกเขาได้รับคะแนนเสียงมากขึ้นหรือไม่ในการเลือกตั้งปี 2563

นายฟอร์ด โอคอนเนลล์ นักวิเคราะห์การเมืองของพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า "ครั้งล่าสุดที่ประธานาธิบดีสหรัฐถูกถอดถอนนั้น ส่งผลในทางตรงกันข้าม" โดยเขาระบุถึงกระบวนการถอดถอนอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตันซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2541

นายโอคอนเนล กล่าวว่า "ประชาชนไม่ได้ต้องการการถอดถอนประธานาธิบดี" "มีเพียง 37% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการให้พรรคเดโมแครตเริ่มกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดี"

POLITICO ซึ่งเป็นสื่อการเมืองของสหรัฐเปิดเผยความเห็นของนายไทเลอร์ ซินแคลร์ รองประธานของมอร์นิ่ง คอนซัลว่า "การเริ่มกระบวนการถอดถอนปธน.ทรัมป์ยังคงเป็นความเคลื่อนไหวที่ได้รับการสนับสนุนจากฐานเสียงของพรรคเดโมแครต แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะช่วยให้พวกเขาชนะการเลือกตั้ง"

นายโอคอนเนลกล่าวว่า "ทันทีที่รายงานของนายโรเบิร์ต มูลเลอร์ อดีตอัยการพิเศษของสหรัฐ ออกมาแล้วไม่พบว่าปธน.ทรัมป์กระทำความผิดใดๆ ผู้นำพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสก็ได้ตัดสินใจที่จะสอบสวนทุกข้อกล่าวหาที่เป็นไปได้กับปธน.ทรัมป์โดยไม่ได้ระบุถึงการถอดถอน"

นายโอคอนเนลระบุถึงรายงานการสอบสวนระยะ 1 ปีเกี่ยวกับการสมรู้ร่วมคิดระหว่างปธน.ทรัมป์และรัสเซีย ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่สามารถหาหลักฐานเอาผิดปธน.ทรัมป์ได้ แต่ทำให้สหรัฐต้องสูญเงินภาษีไปถึง 32 ล้านดอลลาร์

นายโอคอนเนลล์ตั้งข้อสังเกตว่า สมัยเมื่อพรรครีพับลิกันทำการถอดถอนปธน.คลินตันนั้น อันดับความนิยมในตัวปธน.คลินตันกลับพุ่งขึ้น 10 จุดหลังจากนั้น

สมาชิกพรรคเดโมแครตผิดหวังกับเรื่องการถอดถอนประธานาธิบดี และได้ออกมาลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งถัดมาเพื่อปกป้องประธานาธิบดีของตนเอง ซึ่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญระบุว่า อาจเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้กับสมาชิกพรรครีพับลิกันในปี 2563

นายโอคอนเนลล์กล่าวว่า "ลองจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ถ้ามีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น 10 จุด"

การถอดถอนเป็นกระบวนการที่ยาวนานและซับซ้อน เป็นเรื่องยากที่จะถอดถอนประธานาธิบดีเพียงเพราะเป็นประธานาธิบดีที่ไม่ได้รับความนิยม, ไร้ความสามารถหรือพูดจาไม่สุภาพ เพราะโดยทั่วไปแล้ว การถอดถอนควรอยู่บนพื้นฐานของการละเมิดกฎหมายที่เฉพาะเจาะจงอย่างมาก และการพิจารณาคดีก็ไม่ได้หมายความว่า ประธานาธิบดีจะต้องถูกตัดสินว่ามีความผิด และถูกปลดออกจากตำแหน่งในที่สุด

สำนักข่าวซินหัวรายงาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ