นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะแห่งญี่ปุ่น และประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ เห็นพ้องกันที่จะร่วมมือกันเพื่อลดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังจากที่เกิดเหตุการณ์โจมตีโรงงานน้ำมันในซาอุดีอาระเบีย
ในระหว่างการหารือนอกรอบการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก ผู้นำทั้งสองได้ประณามการก่อเหตุเมื่อวันที่ 14 ก.ย. โดยสหรัฐอ้างว่าเป็นฝีมือของอิหร่าน ขณะที่นายอาเบะไม่ได้กล่าวถึงอิหร่านโดยตรง แต่มีท่าทีที่เอนเอียงไปทางฝั่งสหรัฐเล็กน้อยจากเดิมที่เป็นกลาง
นายอาเบะกล่าวกับปธน.ทรัมป์ว่า เป็นเรื่องยากที่จะคิดว่ากลุ่มกบฎฮูติในเยเมนจะมีความสามารถมากพอที่จะก่อเหตุร้ายในครั้งนี้ได้
อย่างไรก็ตาม นายอาเบะกล่าวว่า ญี่ปุ่นจะร่วมมือกับฝ่ายต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์การโจมตี หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การผลิตน้ำมันในซาอุดีอาระเบียลดลงกว่า 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 5% ของอุปทานน้ำมันโลก
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางนั้น พยายามที่จะรักษาสัมพันธ์กับทั้งอิหร่านและสหรัฐ โดยญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงที่จะวิพากษ์วิจารณ์ว่าอิหร่านเป็นผู้ก่อเหตุโจมตีโรงงานน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นมีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากที่อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนีได้ร่วมกับสหรัฐในการกล่าวโทษอิหร่านเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา