พรรคเดโมแครตได้เชิญตัวนักการทูตที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับยูเครนเพื่อเข้าให้ปากคำตามกระบวนการไต่สวนในการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่ง
นายวิลเลียม เทย์เลอร์ นักการทูตระดับสูงของสหรัฐที่ดูแลความสัมพันธ์กับยูเครน เปิดเผยในระหว่างการไต่สวนซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ว่า เจ้าหน้าที่ในทีมรายหนึ่งได้ยินปธน.ทรัมป์ ถามนายกอร์ดอน ซอนด์แลนด์ เอกอัครราชทูตประจำสหภาพยุโรป เกี่ยวกับ "การสอบสวน" ขณะที่นายจอร์จ เคนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านยูเครนประจำกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ ได้ให้การว่าตนถูกนายรูดี จูลีอานี ทนายความส่วนตัวของปธน.ทรัมป์ กดดันให้เร่ง "การสอบสวน" ดังกล่าวเช่นกัน
นอกจากนี้ คำให้การยังบ่งชี้ด้วยว่า เจ้าหน้าที่ของสหรัฐที่ดูแลเรื่องนโยบายต่างประเทศของปธน.ทรัมป์บางรายเชื่อว่า ปธน.ทรัมป์ ได้พยายามตั้งเงื่อนไขกดดันให้นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ทำการสอบสวนคู่แข่งทางการเมืองอย่างนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ และบุตรชายของเขา ซึ่งมีการทำธุรกิจในยูเครน
อย่างไรก็ดี นักการทูตทั้งสองรายเปิดเผยว่าตนไม่เคยพูดคุยกับปธน.ทรัมป์โดยตรง และไม่เคยพูดคุยกับกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดประเด็นนี้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อพรรคเดโมแครตในการเร่งถอดถอนปธน.ทรัมป์โดยเร็ว ขณะที่ฝั่งพรรครีพับลิกันก็ได้กล่าวโจมตีว่าการสอบสวนดังกล่าวไม่มีผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงรวมอยู่ด้วย จึงไม่มีความน่าเชื่อถือ
นอกจากนี้ ทำเนียบขาวยังปฏิเสธที่จะให้เอกสารและพยานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ทั้งนี้ นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ประกาศเริ่มกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนปธน.ทรัมป์ อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนต.ค. หลังจากมีรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายเซเลนสกีเพื่อกดดันให้มีการสอบสวนนายไบเดน และบุตรชายของเขา โดยการกระทำดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐ
นายไบเดนเป็นหนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต และถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญของปธน.ทรัมป์ หากปธน.ทรัมป์ประสบความสำเร็จในการสกัดนายไบเดนออกจากการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ปธน.ทรัมป์ก็มีแนวโน้มสูงที่จะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกสมัย