นายอดัม ชิฟฟ์ ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และผู้นำกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ เปิดเผยว่า ความผิดของปธน.ทรัมป์นั้นร้ายแรงกว่าเหตุการณ์วอเตอร์เกตสุดอื้อฉาว ซึ่งทำให้นายริชาร์ด นิกสัน ปธน.ในขณะนั้นต้องลาออกเสียด้วยซ้ำ
กลุ่มส.ส.สหรัฐได้ใช้เวลา 3 วันในการไต่สวนพยาน 8 รายเกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่าปธน.ทรัมป์นั้นใช้อำนาจตัวเองกดดันให้นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ทำการสอบสวนนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเก็งผู้สมัครชิงตำแหน่งปธน.สหรัฐในปี 2563 และบุตรชายของนายไบเดน ซึ่งทำธุรกิจในยูเครน
ส.ส.พรรคเดโมแครตกล่าวหาว่า ปธน.ทรัมป์กดดันปธน.เซเลนสกีด้วยการระงับเงินช่วยเหลือทางการทหารเกือบ 400 ล้านดอลลาร์ให้แก่ยูเครน อย่างไรก็ตาม มีผู้ไม่ประสงค์ออกนามเปิดเผยเรื่องราวดังกล่าวให้กับสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่กระบวนการยื่นถอดถอนปธน.ทรัมป์ในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ ในการไต่สวนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รายหนึ่งจากสถานทูตสหรัฐประจำยูเครนได้ให้การว่า จากมุมมองของตนเองนั้น เห็นได้ชัดว่าการที่ปธน.ทรัมป์ระงับเงินช่วยเหลือทางการทหารให้แก่ยูเครน เป็นได้ 2 กรณีคือ ไม่พอใจที่ทางยูเครนไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวนนายไบเดน หรือไม่ก็เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ยูเครนให้ความร่วมมือ
เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวระบุว่า ขณะนั้นตนเองนั่งอยู่ตรงข้ามกับกอร์ดอน ซอนด์แลนด์ ทูตสหรัฐประจำสหภาพยุโรป (EU) และได้ยินนายซอนด์แลนด์พูดว่าปธน.เซเลนสกีจะยอมทำทุกอย่างที่ขอ รวมถึงได้ยินเสียงของปธน.ทรัมป์อย่างชัดเจน
ขณะเดียวกัน ปธน.ทรัมป์ได้ออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาดังกล่าวทางทวิตเตอร์ว่า ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้ยินหรือเข้าใจบทสนทนาทางโทรศัพท์ของผู้อื่นที่อยู่ตรงหน้า เว้นแต่อีกฝ่ายจะเปิดเสียงพูดออกลำโพง พร้อมท้าให้เจ้าหน้าที่คงดังกล่าวสาธิตให้ดู