องค์การศึกษาสิทธิมนุษยชนสังคมจีน (China Society for Human Rights Studies – CSHRS) ได้เผยแพร่บทความเรื่อง "ธนกิจการเมืองแสดงถึงความเสแสร้งของประชาธิปไตยแบบสหรัฐ" (Money Politics Exposes the Hypocrisy of 'U.S.-Style Democracy)
บทความดังกล่าวบ่งชี้ว่า ธนกิจการเมือง (money politics) เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงด้านการเมืองและสังคมของสหรัฐ
"ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชนชั้นที่มั่งคั่งในสหรัฐมีอิทธิพลสำคัญมากขึ้นในการเมือง ขณะที่อิทธิพลทางการเมืองของบุคคลธรรมดาทั่วไปนั้น ลดน้อยลง" บทความระบุ
บทความชี้ว่า เม็ดเงินถูกอัดฉีดไปทั่วระบบการเมืองสหรัฐทั้งหมด และเม็ดเงินเหล่านี้ได้กลายเป็นโรคเรื้อรังในสังคมของสหรัฐ ธนกิจการเมืองของสหรัฐได้บิดเบือนความคิดเห็นของประชาชน และทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นการโชว์เดี่ยว (one-man show) ของชนชั้นที่มั่งคั่ง
"นับตั้งแต่เริ่มต้นศตวรรษที่ 21 ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 700 ล้านดอลลาร์ในปี 2547 เป็น 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2551 และ 2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2555" บทความระบุ
"ในปี 2559 การเลือกตั้งสหรัฐซึ่งรวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาคองเกรสนั้น มีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 6.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งและการเมืองที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ"
ขณะเดียวกัน เงินทุนลับหรือเงินมืด (dark money) จำนวนมากได้ถูกอัดฉีดเข้าสู่กิจกรรมการเลือกตั้งของสหรัฐด้วยเช่นกัน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บทความดังกล่าวได้อ้างถึงรายงานในปี 2561 ของเอ็นบีซี นิวส์ของสหรัฐที่ระบุว่า ขณะที่กระทรวงการคลังของสหรัฐประกาศว่า ทางกระทรวงจะไม่กำหนดให้องค์กรที่ไม่หวังผลกำไรต่างๆ รายงานแหล่งเงินบริจาคเงินอีกต่อไปนั้น ความโปร่งใสของการระดมเงินทุนสำหรับการเลือกตั้งก็จะลดลงอย่างมาก