รัฐบาลอินเดียเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อให้การต้อนรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ที่มีกำหนดเดินทางเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการในวันที่ 24-25 ก.พ.นี้
การเดินทางเยือนอินเดียในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐ โดยก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยเยือนอินเดียเมื่อครั้งที่ยังเป็นนักธุรกิจ
ทั้งนี้ คาดว่าเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันของผู้นำสหรัฐจะลงจอดที่สนามบินในเมืองอาห์เมดาบัด รัฐคุชราต ทางตะวันตกของประเทศ ในช่วงก่อนเที่ยงของวันจันทร์ และปธน.ทรัมป์จะเดินทางกลับกรุงวอชิงตันในช่วงเย็นวันอังคาร ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจในอินเดีย
สำหรับเหตุการณ์เด่นในระหว่างการเยือนอินเดียของปธน.ทรัมป์ ได้แก่ ขบวนรถแห่และพิธีต้อนรับสุดอลังการในเมืองอาห์เมดาบัดโดยมีชาวอินเดียเข้าร่วมเกือบ 100,000 คน การเยี่ยมชมทัชมาฮาลในยามอาทิตย์อัสดง รวมถึงการหารือระดับสูงและการประชุมอุตสาหกรรมในเดลี ในวันอังคาร
แหล่งข่าวเผยว่า หัวข้อการเจรจาในระหว่างการเดินทางเยือนอินเดียของทรัมป์ครั้งนี้อาจรวมถึง ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (Generalised System of Preferences (GSP)) ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อตกลงและ MoU หลายฉบับ ซึ่งรวมถึง การปราบปรามการก่อการร้าย สิทธิในทรัพย์สินทางการปัญญา ความร่วมมือด้านอวกาศและการแพทย์
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ดึงดูดความสนใจของสื่ออินเดียได้แก่ การสร้างกำแพงยาว 500 เมตรตลอดเส้นทางจากสนามบินอาห์เมดาบัดไปยังสนามกีฬาอาห์เมดาบัดเพื่อบังชุมชนแออัดนับพันแห่ง ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นอ้างว่า กำแพงดังกล่าวถูกสร้างขึ้นด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงปลอดภัย
จากการเปิดเผยของผู้เชี่ยวชาญสหรัฐ คาดว่าจะมีการประกาศข้อตกลงด้านกลาโหมมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ ภายหลังการประชุมระดับคณะผู้แทน ขณะที่การพูดคุยแบบตัวต่อตัวระหว่างนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี กับปธน.ทรัมป์ จะมีขึ้นในวันอังคาร
ทั้งนี้ สหรัฐเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของอินเดีย รองจากจีน และกลายเป็นคู่ค้าด้านกลาโหมรายใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยคณะรัฐมนตรีของนายโมดีได้อนุมัติข้อตกลงมูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อเฮลิคอปเตอร์ 24 ลำจากบริษัทล็อกฮีด มาร์ติน ของสหรัฐ
ข้อมูลจากอินเดียเผยว่า มูลค่าการค้าโดยรวมระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 10% ต่อปีในช่วงสองปีที่ผ่านมา แตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.426 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2561 และคาดว่าจะทะลุหลัก 1.50 แสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในปีนี้