ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐเปิดเผยในการแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ (29 พ.ค.) ว่า รัฐบาลสหรัฐจะเริ่มกระบวนการยกเลิกสถานะพิเศษของฮ่องกง เพื่อตอบโต้การตัดสินใจของจีนที่จะบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกง และยังได้ประกาศตัดความสัมพันธ์กับองค์การอนามัยโลก (WHO) ด้วย โดยเขาระบุว่า เพราะ WHO ดำเนินการใดๆ โดยให้จีนเป็นศูนย์กลาง
ปธน.ทรัมป์ประกาศในการแถลงข่าวว่า "ฮ่องกงไม่มีอิสระในการปกครองตนเองอย่างเพียงพอที่จะได้รับสถานะการปฏิบัติเป็นพิเศษที่เราได้มอบให้อีกต่อไป ดังนั้น ผมจึงได้สั่งให้คณะบริหารของผมเริ่มกระบวนการยกเลิกการยกเว้นด้านนโยบายที่ทำให้ฮ่องกงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษและแตกต่าง"
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การประกาศดังกล่าวมีขึ้น หลังจากจีนตัดสินใจเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาที่จะบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติเพื่อกวาดล้างสิ่งที่จีนมองว่าเป็นกิจกรรมที่เป็นการบ่อนทำลายในฮ่องกง ซึ่งรวมถึงการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งใหญ่ที่ทำให้เกิดความรุนแรงในปีที่ผ่านมา
ภายใต้นโยบาย "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ของจีนนั้น ฮ่องกงจะได้รับสิทธิและเสรีภาพในการเป็นดินแดนกึ่งปกครองตนเองเป็นเวลา 50 ปี หลังจากที่อังกฤษส่งมอบฮ่องกงคืนให้กับจีนในปี 2540
สหรัฐเองก็ได้ให้สิทธิพิเศษกับฮ่องกงที่แยกจากจีนในด้านต่างๆ อาทิ ภาษีศุลกากรและการออกวีซ่า ภายใต้กฎหมายปี 2535 ของสหรัฐ
ปธน.ทรัมป์ระบุว่า จีนได้ละเมิดสัญญาที่ให้ไว้ด้วยการดำเนินนโยบาย "หนึ่งประเทศ หนึ่งระบบ"
ทั้งนี้ การเปิดกว้างทางเศรษฐกิจและเสรีภาพในการแสดงออกของฮ่องกง รวมถึงประเด็นอื่นๆ นั้น ทำให้ฮ่องกงมีความน่าดึงดูดใจสำหรับธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก ช่วยให้ฮ่องกงเฟื่องฟูในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ และฮ่องกงยังมีบทบาทในการเป็นแหล่งระดมทุนให้กับบริษัทของจีนด้วย
ปธน.ทรัมป์เปิดเผยว่า สหรัฐวางแผนที่จะดำเนินมาตรการเพื่อลงโทษเจ้าหน้าที่จีนที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและทางอ้อมในการทำลายความเป็นเอกราชของฮ่องกง
นอกจากนี้ เพื่อปกป้องการวิจัยที่สำคัญของมหาวิทยาลัยสหรัฐนั้น คณะบริหารของปธน.ทรัมป์จะสั่งห้ามชาวต่างชาติที่เดินทางจากจีนเข้าประเทศ โดยระบุว่าอาจเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคง
ขณะที่แสดงความไม่พอใจกับจีนในประเด็นที่เกี่ยวกับฮ่องกงนั้น ปธน.ทรัมป์ยังได้กล่าวโจมตี WHO ซึ่งเขาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น "หุ่นเชิด" ของจีน และให้ข้อมูลผิดๆ ของจีนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
"จีนมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมองค์การอนามัยโลก" ปธน.ทรัมป์กล่าว "เนื่องจากพวกเขาล้มเหลวในการดำเนินการตามที่ถูกร้องขอและจำเป็นต้องมีการปฏิรูปอย่างมากนั้น ในวันนี้เราจะยุติความสัมพันธ์ของเรากับองค์การอนามัยโลก และเราจะเปลี่ยนไปให้เงินทุนกับที่อื่นๆ ทั่วโลก และที่ซึ่งต้องการความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขอย่างเร่งด่วน"
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้แจ้งกับ WHO ว่า เขาจะระงับการจ่ายเงินทุนสนับสนุน WHO อย่างถาวร และทบทวนการเป็นสมาชิกของสหรัฐ หาก WHO ไม่ดำเนินการปฏิรูปครั้งใหญ่ภายในเวลา 30 วัน
ปธน.ทรัมป์ซึ่งเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์ภายในประเทศกับการรับมือกับโรคโควิด-19 ก่อนการเลือกตั้งในเดือนพ.ย.นั้น ได้เปลี่ยนมากล่าวโทษ WHO และ จีนซึ่งเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
การยกเลิกเงินทุนสนับสนุนของสหรัฐอย่างถาวรนั้นจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อ WHO โดยสหรัฐเป็นผู้ให้เงินทุนรายใหญ่ในปี 2561 และ 2562 เป็นมูลค่าถึง 893 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของเงินทุนทั้งหมดของ WHO