นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับการประท้วงที่ลุกลามจนกลายเป็นเหตุการณ์จลาจลในสหรัฐ อันเนื่องมาจากประชาชนจำนวนมากพากันประท้วงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนายจอร์จ ฟลอยด์ ชาวผิวสีที่ถูกตำรวจล็อกคอจนขาดอากาศหายใจและเสียชีวิต
นายบุช ซึ่งส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นใดๆหลังจากครบวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2552 กล่าวว่า เขาและนางลอรา บุช อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐ รู้สึกไม่พอใจเกี่ยวกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเหยียดเชื้อชาติ แต่การประท้วงที่ลุกลามจนกลายเป็นเหตุการณ์จลาจลและการปล้มสะดมในขณะนี้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเช่นกัน
"การปล้นสะดมไม่ใช่การแสดงออกถึงเสรีภาพ และการทำลายล้างก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่มันกำลังทำให้ทุกอย่างกลายเป็นโศกนาฎกรรม" นายบุชกล่าว
ทั้งนี้ นายบุชได้เรียกร้องให้ชาวอเมริกันมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ให้โอกาสกัน และรับฟังกันและกัน โดยไม่คำนึงถึงสีผิวและเชื้อชาติ
การแสดงความเห็นของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐผู้นี้มีขึ้นในช่วงเวลาที่ 40 เมืองทั่วสหรัฐได้ประกาศเคอร์ฟิว หลังเกิดเหตุจลาจล ทั้งการทำลายทรัพย์สินสาธารณะ การเผารถยนต์ และการทุบกระจกร้านค้า ท่ามกลางความไม่พอใจต่อการที่ตำรวจใช้ความรุนแรงต่อนายจอร์จ ฟลอยด์ ซึ่งเป็นชายผิวสี จนเสียชีวิต
การเสียชีวิตของนายฟลอยด์ได้กลายเป็นข่าวโด่งดังในโลกโซเชียล โดยเมื่อวันจันทร์ที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา พนักงานร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งในรัฐมินนิโซตาได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจ หลังสงสัยว่านายฟลอยด์พยายามจะซื้อของในร้านด้วยธนบัตรปลอม และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นายเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ ก็ได้จับนายฟลอยด์ใส่กุญแจมือ และผลักเขาให้นอนคว่ำลงกับพื้น จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งใช้เข่ากดลงบนคอของนายฟลอยด์และทิ้งน้ำหนักตัวลงไป ซึ่งขณะนั้นนายฟลอยด์พยายามร้องบอกตำรวจว่า "ผมหายใจไม่ออก ได้โปรด ผมหายใจไม่ออก" ก่อนที่เขาจะหมดสติและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่นายฟลอยด์ได้เสียชีวิตก่อนที่จะถึงโรงพยาบาล