สื่อต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลจีนต้องการให้ไบต์แดนซ์ (ByteDance) ปิดกิจการติ๊กต็อก (TikTok) ในสหรัฐ มากกว่าจะต้องยอมถูกบังคับให้ขายกิจการ
แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ทางการจีนเชื่อว่า การถูกบังคับขายกิจการจะทำให้ไบต์แดนซ์และรัฐบาลจีนดูเหมือนต้องยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดันจากสหรัฐ
ทั้งนี้ ไบต์แดนซ์ได้ทำการเจรจาเพื่อขายธุรกิจของติ๊กต็อกซึ่งเป็นแอปวิดีโอสั้นยอดนิยมให้กับบริษัทของสหรัฐซึ่งรวมถึงไมโครซอฟท์และออราเคิล เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ขู่เมื่อเดือนที่แล้วที่จะแบนบริการของติ๊กต็อก หากไบต์แดนซ์ไม่ยอมขายกิจการดังกล่าว โดยปธน.ทรัมป์ได้ขีดเส้นตายให้ไบต์แดนซ์สรุปข้อตกลงขายติ๊กต็อกภายในกลางเดือนก.ย.นี้
ไบต์แดนซ์ระบุในแถลงการณ์ที่ส่งให้กับรอยเตอร์ว่า รัฐบาลจีนไม่เคยแนะนำให้ไบต์แดนซ์ปิดธุรกิจติ๊กต็อกในสหรัฐ หรือในประเทศอื่นๆ แต่อย่างใด
ส่วนแหล่งข่าวเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า หากจำเป็น รัฐบาลจีนก็ตั้งใจจะใช้กฎเกณฑ์ใหม่ในการส่งออกเทคโนโลยีที่มีการปรับแก้ไขเมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อชะลอการทำข้อตกลงขายกิจการใดๆ ของไบต์แดนซ์
ทั้งนี้ บริษัทจีนต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลจีนก่อนส่งออกเทคโนโลยี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การขายติ๊กต็อกก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่ดังกล่าว
นายจ้าว ลิเจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ว่า สหรัฐได้อ้างแนวคิดเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติในการบังคับขายติ๊กต็อก และเขาได้เรียกร้องให้สหรัฐยุติการกดขี่บริษัทต่างชาติ
ด้านปธน.ทรัมป์ยืนยันว่าจะไม่ขยายกำหนดเส้นตายให้ไบต์แดนซ์ในการขายกิจการติ๊กต็อก โดยปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งบริหารเมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมาระบุว่า ไบต์แดนซ์จะต้องขายกิจการติ๊กต็อกภายในวันที่ 15 ก.ย.นี้ มิฉะนั้นติ๊กต็อกจะถูกสั่งปิดกิจการด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ซึ่งมีแค่ 2 ทางเลือกเท่านั้น และจะไม่มีการขยายเส้นตายออกไปอีก
ปธน.ทรัมป์ได้สั่งให้ไบต์แดนซ์ขายธุรกิจติ๊กต็อกในสหรัฐ เนื่องจากวิตกเกี่ยวกับการจัดการด้านความปลอดภัยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน โดยติ๊กต็อกมีผู้ใช้งานราว 100 ล้านคนต่อเดือนในสหรัฐ
ด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ไบต์แดนซ์มีแนวโน้มที่จะไม่สามารถขายกิจการติ๊กต็อกในสหรัฐได้ทันกำหนดเส้นตายดังกล่าว โดยหลังจากที่จีนได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี ทำให้การเจรจาของไบต์แดนซ์กับบริษัทที่สนใจจะซื้อกิจการติ๊กต็อก เช่น ออราเคิล และไมโครซอฟท์ซึ่งจะจับมือเป็นพันธมิตรกับวอลมาร์ทนั้น เป็นไปอย่างยากลำบาก