กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเรียกร้องให้จีนเข้าร่วมการเจรจาและหยุดการกดดันทางทหารกับไต้หวัน โดยเป็นหนึ่งในมาตรการสนับสนุนไต้หวันของคณะบริหารสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเครื่องบินทหารของจีน 13 ลำ รวมถึงเครื่องบินทิ้งระเบิด H-6K 8 ลำ บินเข้าไปยังเขตน่านฟ้าของไต้หวัน โดยปฏิบัติการณ์ดังกล่าวเป็นหนึ่งในสิ่งที่กองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ทำเกือบทุกวัน
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐระบุว่า "เราจะยืนเคียงข้างมิตรสหายและพันธมิตร เพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคง และคุณค่าในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ซึ่งรวมถึงการกระชับความสัมพันธ์กับไต้หวันอันเป็นชาติประชาธิปไตยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น"
เหตุขัดแย้งเรื่องไต้หวัน ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นที่ใหญ่ที่สุดของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนนับแต่ยุคสงครามเย็น หลังสหรัฐยกระดับการสนับสนุนประธานาธิบดีไช่ อิงเหวินของไต้หวัน ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนได้ตัดการสื่อสารกับไต้หวันและในปี 2559 ได้เริ่มการกดดันต่าง ๆ กับปธน.ไช่ หลังจากที่ปธน.ไช่ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน
แถลงการณ์ของสหรัฐเป็นการส่งสัญญาณการสานต่อนโยบายของรัฐบาลชุดก่อนหน้า โดยรัฐบาลของอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เพิ่มการขายอาวุธให้ไต้หวัน และนายอเล็กซ์ เอซาร์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐได้เดินทางเยือนไต้หวันในเดือนส.ค.ปีที่แล้ว โดยนับเป็นตัวแทนระดับสูงสุดของสหรัฐที่เดินทางเยือนไต้หวันในรอบหลายสิบปี
"สหรัฐจะยังคงสนับสนุนการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ โดยสอดคล้องกับความปรารถนาและผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนชาวไต้หวัน" กระทรวงต่างประเทศสหรัฐระบุ พร้อมเสริมว่า ความมุ่งมั่นของสหรัฐต่อไต้หวันนั้นมั่นคงและจะมีส่วนช่วยรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในเอเชีย
คณะทำงานของปธน.ไบเดนได้ส่งสัญญาณที่แข็งกร้าวต่อจีน ขณะเดียวกันก็ต้องการความร่วมมือจากจีนในด้านต่าง ๆ เช่นภาวะโลกร้อน ด้านปธน.สีเตรียมมีกำหนดขึ้นพูดในการประชุม WEF ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันนี้ โดยเป็นการขึ้นพูดครั้งสำคัญครั้งแรกนับแต่ปธน.ไบเดนเข้ารับตำแหน่ง
ขณะเดียวกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สถานทูตจีนในสหรัฐได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธรายงานของวอลล์ สตรีท เจอร์นัลว่าจีนกำลังเตรียมประชุมผู้บริหารระดับสูงเพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง