นางคริสติน ชราเนอร์ บูร์เกเนอร์ ทูตพิเศษขององค์การสหประชาชาติ (UN) ประจำเมียนมา เปิดเผยว่า ตนได้เข้าหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพเมียนมา และได้เตือนว่าเมียนมาจะถูกโดดเดี่ยวจากประเทศต่างๆ และจะถูกตอบโต้ต่อการทำรัฐประหารในเดือนก.พ. แต่เมียนมาก็ไม่ได้ให้ความสนใจต่อท่าทีของนานาชาติแต่อย่างใด
นางบูร์เกเนอร์กล่าวว่า ตนได้สนทนากับพล.อ.โซ วิน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และรองประธานคณะมนตรีการปกครองแห่งรัฐของเมียนมา เพื่อเตือนเกี่ยวกับผลกระทบที่เมียนมาจะได้รับจากการก่อรัฐประหาร
"คำตอบของเขาคือ 'เราเคยถูกคว่ำบาตรมาแล้ว และเราก็รอดมาแล้ว' และเมื่อดิฉันเตือนว่าพวกเขาจะถูกโดดเดี่ยว คำตอบคือ 'เราต้องเรียนรู้ที่จะเดินร่วมกับเพื่อนเพียงไม่กี่ประเทศ' " นางบูร์เกเนอร์กล่าว
ทั้งนี้ รัฐบาลทหารเมียนมาเคยปกครองประเทศมานานเกือบ 50 ปี ก่อนที่จะถ่ายโอนอำนาจให้แก่ฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งนำโดยนางออง ซาน ซูจี เมื่อราว 10 ปีก่อน และได้จัดการเลือกตั้งขึ้นในปี 2558 ซึ่งทำให้พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของนางซูจีชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย
ต่อมา รัฐบาลของนางซูจีได้จัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ในวันที่ 8 พ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งทำให้พรรค NLD ชนะการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ได้ส่งผลให้กองทัพเมียนมาออกมาทำรัฐประหาร โดยอ้างว่ามีการโกงเลือกตั้ง และกองทัพจำเป็นต้องยึดอำนาจตามแนวทางของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้งไม่ทำการตรวจสอบการโกงเลือกตั้งดังกล่าว
การยึดอำนาจของกองทัพเมียนมาในครั้งนี้ ได้สร้างความไม่พอใจต่อประชาชน ซึ่งได้ออกมาต่อต้านการทำรัฐประหาร ส่งผลให้กองทัพทำการปราบปรามการชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตมากถึง 38 รายเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่กองทัพเมียนมาเข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 ก.พ.
องค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมประท้วงรวม 50 รายนับตั้งแต่กองทัพเข้ายึดอำนาจ ขณะที่แกนนำของการชุมนุมระบุว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตมีมากกว่าจำนวนดังกล่าว