ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐได้แถลงต่อสภาคองเกรสว่า เขาได้กล่าวกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนว่า สหรัฐจะยังคงตรึงกำลังทหารไว้ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก "ไม่ใช่เพื่อเริ่มต้นความขัดแย้ง แต่เพื่อป้องกันความขัดแย้ง" หลังจากที่จีนพยายามแผ่ขยายอิทธิพลมายังเขตแดนซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญดังกล่าว
ปธน.ไบเดนกล่าวกับปธน.สีว่า สหรัฐยินดีที่จะแข่งขันทางเศรษฐกิจกับจีน แต่ไม่ได้ต้องการสร้างความขัดแย้งแต่อย่างใด
"ผมบอกกับปธน.สีว่า เราจะยังคงตรึงกำลังทหารในอินโดแปซิฟิก เช่นเดียวกับที่เราทำร่วมกับองค์การนาโต (NATO) ในยุโรป ซึ่งไม่ใช่เพื่อเริ่มต้นความขัดแย้ง แต่เพื่อป้องกันความขัดแย้ง"
นอกจากนี้ ปธน.ไบเดนยังกล่าวกับปธน.สีด้วยว่า "เราน้อมรับการแข่งขัน แต่เราไม่ได้ต้องการสร้างความขัดแย้งกับจีน"
"อย่างไรก็ตาม ผมบอกปธน.สีอย่างชัดเจนว่า ผมจะปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกันทั้งหมด"
ปธน.ไบเดนระบุด้วยว่า สหรัฐจะยืนหยัดต่อสู้กับการค้าที่ไม่เป็นธรรมซึ่งเป็นการเอาเปรียบแรงงานและอุตสาหกรรมของสหรัฐ อาทิ การอุดหนุนรัฐวิสาหกิจ และการขโมยเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ
ขณะเดียวกัน ปธน.ไบเดนยังได้กล่าวกับปธน.สีเฉกเช่นเดียวกับที่เขากล่าวกับผู้นำโลกหลายคนว่า สหรัฐจะยึดมั่นต่อพันธสัญญาที่จะปกป้องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพอันเป็นหลักพื้นฐานของมนุษย์
"ไม่มีประธานาธิบดีสหรัฐที่มีความรับผิดชอบคนใดสามารถเพิกเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ ประธานาธิบดีต้องเป็นผู้ที่แสดงให้เห็นถึงแก่นแท้ของประเทศ"
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศเผชิญหน้ากันท่ามกลางความขัดแย้งหลายประการ ซึ่งรวมถึงการค้า, การที่จีนส่งกำลังทหารไปประจำการในน่านน้ำทะเลจีนใต้ และประเด็นสิทธิมนุษยชนในฮ่องกงและซินเจียงอุยกูร์