นายคิม ยงชอล นักการเมืองผู้อยู่เบื้องหลังการประชุมสุดยอดระหว่างนายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ กับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้ออกมาเตือนว่า สหรัฐและเกาหลีใต้เสี่ยงที่จะเผชิญวิกฤติความมั่นคง เพราะเลือกเดินหน้าปฏิบัติการร่วมซ้อมรบทางทหาร
นายคิม ยงชอล วิจารณ์เกาหลีใต้และสหรัฐว่า ทั้งสองประเทศนี้ตอบแทนความหวังดีของเกาหลีเหนือด้วย "การกระทำอันเป็นปรปักษ์" โดยได้วิจารณ์เจาะจงเกาหลีใต้ว่า เกาหลีใต้เลือกที่จะพลาดโอกาสในการยกระดับความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ นายคิม ยงชอล ยังขู่ว่า "เกาหลีใต้ต้องรู้ซึ้งว่าตนเองจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง เมื่อเลือกเป็นพันธมิตรกับสหรัฐ แทนที่จะเลือกสันติภาพระหว่างสองเกาหลี เราจะทำให้พวกเขาได้รู้ซึ้งในพริบตาว่า พวกเขาได้เลือกทางอันตรายไปแล้ว และการเดินผิดทางนี้จะก่อให้เกิดวิกฤติความมั่นคงร้ายแรงแค่ไหน"
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังเมื่อวานนี้ คิม โยจอง น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลของคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือเปิดเผยว่า เกาหลีใต้และสหรัฐจะต้องรับมือกับภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับการเดินหน้าปฏิบัติการร่วมซ้อมรบทางทหาร
นางคิม โย จอง ระบุในแถลงการณ์ว่า การซ้อมรบดังกล่าวเป็นการกระทำที่บ่อนทำลายตนเอง ซึ่งคุกคามชาวเกาหลีเหนือ และสร้างความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี
เธอเสริมว่า "สหรัฐและเกาหลีใต้จะต้องรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น หลังเพิกเฉยต่อคำเตือนซ้ำๆ ของเราในการเดินหน้าซ้อมรบที่เป็นอันตราย"
นอกจากนี้ นางคิม โย จอง กล่าวหาว่า เกาหลีใต้ดำเนินการที่เป็นปรปักษ์สำหรับการเดินหน้าซ้อมรบ หลังจากเกาหลีเหนือและใต้กลับมาเชื่อมโยงสายด่วนระหว่างรัฐบาลอีกครั้ง เพื่อบรรเทาความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ
ทั้งนี้ ปฏิกิริยาของเกาหลีเหนือต่อการซ้อมรบนั้นจะส่งผลกระทบต่อความพยายามของประธานาธิบดีมูน แจอินของเกาหลีใต้ในการกลับมาเปิดสำนักประสานงานระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ ซึ่งเกาหลีเหนือได้ทำลายไปเมื่อปีที่ผ่านมา รวมถึงการประชุมสุดยอดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการฟื้นฟูความสัมพันธ์