ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า เขามั่นใจว่าจีนจะพยายามทำข้อตกลงกับกลุ่มตาลีบัน หลังจากกลุ่มตาลีบันเข้ายึดครองอัฟกานิสถานเมื่อวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามปธน.ไบเดนว่าเขามีความกังวลว่าจีนจะให้เงินทุนสนับสนุนแก่กลุ่มตาลีบันหรือไม่ ปธน.ไบเดนกล่าวว่า "ที่ผ่านมานั้นจีนมีปัญหากับตาลีบัน แต่หลังจากตาลีบันเข้ายึดอำนาจการปกครองในอัฟกานิสถานได้สำเร็จ จีนก็พยายามเป็นพันธมิตรกับตาลิบัน เช่นเดียวกับที่ปากีสถาน รัสเซีย และอิหร่านกำลังทำอยู่ พวกเขาต่างพยายามหาหนทางว่าควรจะทำอย่างไร"
ทั้งนี้ สหรัฐและกลุ่มพันธมิตร G7 เห็นพ้องที่จะหาวิธีการรับมือกับกลุ่มตาลบัน และขัดขวางไม่ให้กลุ่มตาลีบันเข้าถึงเงินสำรองของอัฟกานิสถาน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐ แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า อำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจจะหมดไป หากจีนและรัสเซียให้เงินทุนแก่กลุ่มตาลีบัน
นางชาไมลา ข่าน ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ของบริษัท AllianceBernstein กล่าวว่า อัฟกานิสถานมีแร่หายากมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ และหลายประเทศซึ่งรวมถึงจีนต่างก็พยายามที่จะครอบครองทรัพยากรอันมีค่าดังกล่าว หลังจากรัฐบาลอัฟกานิสถานล่มสลายและทำให้กลุ่มตาลีบันเข้ามาครอบครองประเทศ
นางข่านเปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า กลุ่มตาลีบันกลับมามีอำนาจพร้อมด้วยทรัพยากรซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างมากสำหรับโลกนี้ โดยจะมีการฉกฉวยประโยชน์จากแร่ธาตุที่มีอยู่ในอัฟกานิสถาน ทั้งนี้ นางข่านกล่าวว่า ประชาคมโลกควรหันมากดดันจีน หากจีนแสดงความต้องการที่จะเป็นพันธมิตรกับกลุ่มตาลีบัน
ข้อมูลจากนายอาห์หมัด ชาห์ คาตาวาไซ อดีตนักการทูตของอัฟกานิสถานประจำกรุงวอชิงตันระบุว่า อัฟานิสถานมีแร่หายากมูลค่าประมาณ 1-3 ล้านล้านดอลลาร์ โดยแร่หายากในอัฟกานิสถานประกอบไปด้วย แลนทานัม, ซีเรียม, นีโอไดเมียม รวมถึงอะลูมิเนียม ทอง, เงิน, สังกะสี, ปรอท และลิเธียม ซึ่งแร่หายากเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในการผลิตทุกสิ่งตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า, ดาวเทียม และเครื่องบิน