ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ประกาศว่า ฝรั่งเศสตั้งเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในด้านพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวภายในปี 2573 รวมถึงสร้างเครื่องบินคาร์บอนต่ำและเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดย่อม ด้วยแผนการลงทุนมูลค่า 3 หมื่นล้านยูโร (3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายใต้ชื่อ "France 2030"
นายมาครงระบุว่า แผนการดังกล่าวจะทำให้รับประกันได้ว่าฝรั่งเศสจะสามารถลดระดับคาร์บอนของภาคอุตสาหกรรมลง รวมถึงผลักดันการพัฒนานวัตกรรมและการผลิตภายในประเทศภายในทศวรรษนี้สำหรับภาคธุรกิจที่สำคัญ เช่น ยานยนต์, ชีวเวชภัณฑ์ และชิปเซมิคอนดักเตอร์
อย่างไรก็ดี แผนการระยะยาวนี้มีการประกาศออกมาเพียง 6 เดือนก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี จึงทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักโดยฝ่ายค้านของฝรั่งเศสที่มองว่าแผนการดังกล่าวเป็นการหาเสียง
ด้านนายมาครงออกมาโต้แย้งว่า เป้าหมายเหล่านี้มีความสำคัญต่อการรักษาสถานภาพความเป็นผู้นำของฝรั่งเศสในเวทีโลก โดยเขากล่าวถึงกรณีปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัยในช่วงโควิด-19 แพร่ระบาดว่า วิกฤตการณ์ดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนและความจำเป็นของฝรั่งเศสที่จะต้องส่งเสริมนวัตกรรมและอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศ