องค์กรสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของปธน.โจ ไบเดน และผู้นำชาติตะวันตก ที่ไม่สามารถปกป้องประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ ได้ อีกทั้งยังประสบความล้มเหลวในการรับมือกับปัญหาความท้าทายซึ่งเป็นผลพวงจากวิกฤตโลกร้อนและโควิด-19 ทั้งในด้านความยากจน ความไม่เท่าเทียม และการเหยียดเชื้อชาติ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อครั้งที่ปธน.ไบเดนเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐในเดือนม.ค. 2564 เขาได้ให้คำมั่นว่าจะยกประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจสำคัญในด้านนโยบายต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม นายเคนเน็ธ ร็อธ ผู้อำนวยการบริหารของฮิวแมนไรท์วอทช์มองว่า คำมั่นสัญญาของปธน.ไบเดนนั้นขัดแย้งกับความเป็นจริง โดยระบุว่า "เขายังค้าอาวุธให้กับอียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง แม้ในพื้นที่ดังกล่าวจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก็ตาม"
"ผู้นำชาติตะวันตกคนอื่น ๆ ก็แทบจะไม่สามารถปกป้องประชาธิปไตยไว้ได้" ไม่ว่าจะเป็นนายเอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส หรือนางอังเกลา แมร์เคิล อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี
นายร็อธยังกล่าวอีกด้วยว่า ในระหว่างการประชุมสุดยอดครั้งสำคัญ ปธน.ไบเดนดูเหมือนจะไม่กล้าแสดงออกเท่าที่ควรเมื่อจำเป็นต้องออกโรงประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในที่สาธารณะ
"กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้ออกมาประท้วงเป็นครั้งคราวเกี่ยวกับการปราบปรามในบางประเทศ และในกรณีร้ายแรง ฝ่ายบริหารของปธน.ไบเดนจะออกมาตรการคว่ำบาตรต่อเจ้าหน้าที่บางคนที่เกี่ยวข้อง แต่เสียงที่ทรงอิทธิพลของประธานาธิบดีมักหายไป"
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ออกมาแก้ต่างให้กับรัฐบาลของปธน.ไบเดน โดยระบุว่า นักการทูตของสหรัฐได้หยิบยกประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้นมาหารือกับผู้นำต่างชาติอยู่บ่อยครั้ง แม้กระทั่งการพูดคุยอย่างยากลำบากกับชาติมหาอำนาจอย่างจีนและรัสเซีย
"หากประชาธิปไตยอยู่เหนือระบอบการปกครองทั้งปวงบนโลกที่มีการปกครองด้วยระบอบเผด็จการ ผู้นำของชาติเหล่านั้นต้องทำมากกว่าแค่ชี้ข้อบกพร่องของเหล่าเผด็จการ เพราะพวกเขาจำเป็นต้องกำหนดกฎประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งและสร้างผลลัพธ์ในเชิงบวกด้วย" นายร็อธกล่าว