นายเดเร็ก โชเลต์ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐกล่าวในการประชุมออนไลน์ที่จัดโดยศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ (CSIS) ในกรุงวอชิงตันว่า สหรัฐจะยังคงคว่ำบาตรรัฐบาลทหารเมียนมาต่อไป รวมถึงผู้มีส่วนช่วยให้คณะทหารยึดอำนาจการปกครองได้สำเร็จ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สหรัฐ, อังกฤษ และแคนาคา ออกมาตรการคว่ำบาตรรอบล่าสุดต่อบุคคลและองค์กรที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลทหารเมียนมา โดยมุ่งเน้นไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายตุลาการที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินคดีกับนางออง ซาน ซูจี อดีตผู้นำรัฐบาลพลเรือนที่ถูกควบคุมตัวนับตั้งแต่เกิดเหตุรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564
"เราจะไม่จบเพียงแค่นั้น ยังมีคนที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารหรือช่วยทำรัฐประหาร ยังมีคนที่พยายามบ่อนทำลายเส้นทางสู่ประชาธิปไตยในเมียนมา และเราจะยังคงจับตาดูต่อไปว่ามีใครหรือหน่วยงานใดอีกบ้างที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้" นายโชเลต์กล่าว
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า การรัฐประหารในเมียนมาจุดชนวนให้เกิดการนัดหยุดงานและการประท้วง โดยมีประชาชนชาวเมียนมาเสียชีวิตจากการปราบปรามราว 1,500 ราย และถูกจับกุมโดยมิชอบด้วยกฎหมายอีกราว 11,800 ราย
นายโชเลต์กล่าวว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (31 ม.ค.) คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรบุคคลในเมียนมา 65 ราย โดยในจำนวนนี้รวมถึงนักธุรกิจชาวเมียนมารายหนึ่งที่ช่วยจัดซื้ออาวุธให้กองทัพ และอีกรายหนึ่งที่สนับสนุนทางการเงินให้กองทัพ
นอกจากนี้ สหรัฐยังคว่ำบาตรหรือวางมาตรการควบคุมการส่งออกต่อองค์กร 26 แห่ง "ที่เกี่ยวพันกับรัฐบาลทหารเมียนมา" อีกด้วย
นายโชเลต์กล่าวว่า สหรัฐติดต่อกับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทหารเมียนมาอยู่เป็นประจำ รวมถึงรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลเงาของเมียนมาที่ต้องการให้ชาติตะวันตกบีบคั้นรัฐบาลทหารมากกว่านี้
อนึ่ง นายโชเลต์ได้พบกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นแหล่งการลงทุนจากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมาในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เพื่อหารือถึงแนวทางการจำกัดไม่ให้กองทัพเข้าถึงสินทรัพย์ทางการเงินในต่างประเทศ