องค์การสหประชาชาติ (UN) รายงานวันนี้ (22 มี.ค) ว่า ประชาชนกว่า 3.5 ล้านคนอพยพหนีภัยในยูเครนไปยังประเทศอื่น ๆ ส่งผลให้ประเทศในยุโรปตะวันออกต้องระดมความช่วยเหลือในการดูแล หาโรงเรียนให้เด็ก ๆ รวมถึงหางานทำให้กับผู้อพยพ แม้ว่าตัวเลขผู้เดินทางข้ามพรมแดนรายวันจะลดลงแล้วก็ตาม
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ประชาชนหลายล้านคนเดินทางออกจากยูเครนนับตั้งแต่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตี ทั้งทางรถไฟ, รถบัส, รถยนต์ รวมถึงเดินเท้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น โปแลนด์และโรมาเนีย ก่อนที่บางส่วนจะอพยพไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วยุโรป อย่างไรก็ดี ชาวยูเครนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในประเทศ
แม้ว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้อพยพข้ามพรมแดนจะลดลง แต่ภาระในการหาที่อยู่อาศัยให้กับผู้หนีภัยสงครามในยูเครนเข้ามายังสหภาพยุโรป (EU) ได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออกและยุโรปกลาง
ด้านโปแลนด์ ซึ่งเป็นที่พำนักของชาวยูเครนพลัดถิ่นที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตั้งแต่ช่วงก่อนสงคราม มีผู้อพยพเข้ามากว่า 2.1 ล้านคน และแม้ว่าบางส่วนได้วางแผนเดินทางต่อไปยังประเทศอื่น แต่จำนวนผู้ลี้ภัยที่ทะลักเข้ามานั้นได้ทำให้บริการสาธารณะประสบปัญหาในการรับมือ
นายพริเซอมิสลาฟ ชาร์เนก รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของโปแลนด์ ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุของรัฐบาลว่า "จำนวนเด็กผู้ลี้ภัยจากยูเครนในโรงเรียนที่โปแลนด์เพิ่มขึ้นราว 10,000 คนต่อวัน โดยมีเด็ก 85,000 คนสมัครเข้าโรงเรียนในโปแลนด์แล้ว