รัฐบาลกองทัพเมียนมาออกมาปฏิเสธ หลังสหรัฐประกาศคำตัดสินว่า กองทัพเมียนมาใช้ความรุนแรงปราบปรามชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยระบุว่า เมียนมาไม่เคยมีส่วนในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใด ๆ ทั้งสิ้น
"ถ้อยคำต่าง ๆ ที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐกล่าวในสุนทรพจน์นั้นห่างไกลจากความเป็นจริง และข้อมูลที่อ้างอิงนั้นก็ไม่ได้มาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและไม่สามารถตรวจสอบได้" รัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมาระบุในแถลงการณ์เมื่อช่วงเย็นวันอังคาร (22 มี.ค.) หลังจากที่นายแอนโทนี บลิงเกน รมว.ต่างประเทศสหรัฐ ประกาศคำตัดสินในประเด็นการใช้ความรุนแรงกับชาวโรฮิงญาของกองทัพเมียนมา ณ พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (21 มี.ค.)
ทางด้านนายบลิงเกนระบุว่า การประกาศให้การปราบปรามชาวโรฮิงญาว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้น เกิดขึ้นหลังจากได้ตรวจสอบเอกสารที่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนรวบรวมไว้อย่างละเอียด
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศเมียนมาได้ออกมาปฏิเสธคำประกาศของนายบลิงเกน โดยระบุว่าเป็นการหวังผลทางการเมือง และยังเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐที่มีอำนาจอธิปไตย
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ตามอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ครอบคลุมถึงการฆ่ารวมถึงการทำอันตรายอย่างทารุณต่อร่างกายและจิตใจ โดยมีเจตนาเพื่อทำลายล้างกลุ่มเชื้อชาติ, ชาติพันธุ์, เผ่าพันธุ์ หรือศาสนา ไม่ว่าจะโดยทั้งหมดหรือบางส่วนก็ตาม
อนึ่ง เมื่อปี 2560 กองทัพเมียนมาได้เปิดฉากปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ที่ชาวโรฮิงญาอยู่อาศัย ส่งผลให้ชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 730,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ต้องอพยพหนีตายเข้าสู่บังกลาเทศ โดยผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาได้เปิดเผยถึงการสังหาร, การกระทำชำเรา และการวางเพลิงโดยเจ้าหน้าที่ทหารของเมียนมา