นายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐประณามรัสเซียว่า ใช้อาหารเป็นเครื่องมือในการโจมตียูเครน โดยเอาการส่งออกอาหารจากยูเครนเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองกับยูเครนและคนทั่วโลก
ทั้งนี้ นายบลิงเกนได้เรียกร้องในที่ประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ให้รัสเซียเลิกปิดล้อมท่าเรือต่าง ๆ ในยูเครน
"ดูเหมือนรัฐบาลรัสเซียจะคิดว่า การใช้อาหารเป็นอาวุธนั้นจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายซึ่งการบุกยูเครนนไม่อาจทำได้ นั่นคือการทำลายล้างจิตวิญญาณของชาวยูเครน โดยกองทัพรัสเซียจับอาหารสำหรับชาวยูเครนและชาวโลกหลายล้านคนไว้เป็นตัวประกัน" นายบลิงเกนกล่าว
ทั้งนี้ รัสเซียและยูเครนส่งออกข้าวสาลีคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของการส่งออกทั่วโลก นอกจากนี้ยูเครนยังเป็นผู้ส่งออกข้าวโพด ข้าวบาร์ลเย์ น้ำมันเมล็ดทานตะวัน และน้ำมันเรพซีดรายใหญ่ของโลก ขณะที่รัสเซียและเบลารุสซึ่งหนุนหลังรัฐบาลรัสเซียในการทำสงครามในยูเครนนั้นส่งออกแร่โพแทช ซึ่งใช้ในการทำปุ๋ยกว่า 40% ของการส่งออกทั่วโลก โดยสงครามในยูเครนส่งผลให้ราคาธัญพืชทั่วโลก น้ำมันปรุงอาหาร เชื้อเพลิง และปุ๋ยมีราคาพุ่งสูงขึ้น
ทางด้านนายวาสซิลี เนเบนเซีย ทูตรัสเซียประจำองค์การสหประชาชาติ (UN) กล่าวว่า "การที่รัสเซียถูกตำหนิว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤตอาหารโลกนั้น เป็นเรื่องที่ผิดอย่างสิ้นเชิง วิกฤตนี้สะสมมาหลายปีแล้ว นอกจากนี้ เขายังกล่าวหาว่า ยูเครนกักเรือต่างชาติไว้ที่ท่าเรือ ซึ่งกองทัพรัสเซียนั้นพยายามที่จะเปิดเส้นทางอพยพที่ปลอดภัยให้กับเรือสินค้า
นอกจากนี้ ทูตรัสเซียประจำ UN ยังกล่าวว่า มาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกต่อรัสเซียนั้นยังส่งผลกระทบต่อการส่งออกอาหารและปุ๋ยจากรัสเซีย ขณะที่นายบลิงเกนปฏิเสธคำกล่าวของรัสเซียที่ว่า มาตรการคว่ำบาตรเป็นเหตุให้เกิดวิกฤตอาหาร
นายบลิงเกนระบุว่า "การตัดสินใจใช้อาหารเป็นเครื่องต่อรองเกิดจากฝั่งรัสเซียเพียงฝ่ายเดียว ผลจากการกระทำของรัฐบาลรัสเซียทำให้ธัญพืชราว 20 ล้านตันกองอยู่ที่คลังเก็บสินค้า ส่งผลให้ซัพพลายอาหารโลกลดลง แต่ราคากลับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วโลกต้องเผชิญความไม่มั่นคงด้านอาหาร"