นายดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซียเตือนว่า ความพยายามของชาติตะวันตกที่จะลงโทษประเทศมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์ เช่น รัสเซียซึ่งทำสงครามในยูเครนนั้น เสี่ยงที่จะก่ออันตรายต่อมนุษยชาติ ขณะที่ความขัดแย้งที่ดำเนินมาเกือบ 5 เดือนทำให้เมืองต่าง ๆ ในยูเครนถูกทำลายและประชาชนหลายพันคนไร้ที่อยู่อาศัย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การรุกรานยูเครนของรัสเซียในวันที่ 24 ก.พ.ได้จุดชนวนให้เกิดวิกฤตร้ายแรงที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตกนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาในปี 2505
ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐกล่าวว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียเป็นอาชญากรสงคราม และได้ทำให้ประเทศตะวันตกต้องติดอาวุธให้กับยูเครน รวมถึงกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย
ด้านนายเมดเวเดฟ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงของรัสเซียกล่าวผ่านเทเลแกรมว่า "ความคิดที่จะลงโทษหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพด้านนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดนั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และอาจเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ"
สหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน (AFS) ระบุว่า รัสเซียและสหรัฐควบคุมหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 90% ของโลก โดยหัวรบประมาณ 4,000 หัวอยู่ในคลังอาวุธของทั้งสองประเทศ
นายเมดเวเดฟได้นิยามสหรัฐว่าเป็นชาติที่ทำให้เกิดการนองเลือดไปทั่วโลก โดยอ้างถึงการสังหารชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน การโจมตีด้วยนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น และการทำสงครามจำนวนตั้งแต่ในเวียดนามไปจนถึงอัฟกานิสถาน
นอกจากนี้ นายเมดเวเดฟยังกล่าวอีกว่า ความพยายามที่จะใช้ศาลหรือคณะตุลาการ เพื่อตรวจสอบการกระทำของรัสเซียในยูเครนนั้น จะไร้ประโยชน์และเสี่ยงต่อการทำลายล้างทั่วโลก
ทั้งนี้ ยูเครนและพันธมิตรตะวันตกระบุว่า กองกำลังของรัสเซียมีส่วนร่วมในการก่ออาชญากรรมสงคราม