ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐวางแผนที่จะหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนภายในสิ้นเดือนก.ค.นี้ ในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศคุกรุ่นจากประเด็นไต้หวันและการค้า
"ผมวางแผนที่จะพูดคุยกับประธานาธิบดีสีภายในช่วง 10 วันข้างหน้า" ปธน.ไบเดนกล่าวกับผู้สื่อข่าวขณะเดินทางกลับจากรัฐแมสซาชูเซตส์ เพื่อปฏิบัติภารกิจด้านสภาพอากาศ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การสนทนาผ่านทางโทรศัพท์เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนของผู้นำสหรัฐและจีนนี้จะมีขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ เมื่อพิจารณาถึงความตึงเครียดจากประเด็นสถานะของไต้หวัน และในช่วงที่คณะบริหารของปธน.ไบเดนพิจารณาลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เพื่อช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อให้กับผู้บริโภคอเมริกัน
สหรัฐมองว่าจีนเป็นคู่แข่งทางยุทธศาสตร์หลักของประเทศ โดยระบุว่าการติดต่อสื่อสารกันในระดับสูงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์ที่ยุ่งยากนั้นมีเสถียรภาพและป้องกันการลุกลามบานปลายไปเป็นความขัดแย้งโดยไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา สหรัฐผลักดันให้องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ยอมรับเอกสารเชิงยุทธศาสตร์ที่ระบุว่าจีนเป็นความท้าทายด้านความมั่นคง
ในขณะที่ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเมื่อวานนี้ (20 ก.ค.) ปธน.ไบเดนได้แสดงท่าทีไม่แน่ใจเกี่ยวกับแผนการเดินทางเยือนไต้หวันในเดือนส.ค.ของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ
"ทางกองทัพคิดว่า นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีในเวลานี้ แต่ผมไม่ทราบว่าขณะนี้แผนการเยือนไต้หวันอยู่ในสถานะใด" ปธน.ไบเดนกล่าว
ทั้งนี้ จีนประกาศในวันอังคาร (19 ก.ค.) ว่าจะตอบโต้ด้วย "มาตรการขั้นเด็ดขาด" หากนางเพโลซีเดินทางเยือนไต้หวันซึ่งเป็นเกาะที่จีนอ้างกรรมสิทธิ์ พร้อมระบุว่า การเดินทางเยือนไต้หวันดังกล่าวจะ "บั่นทอนอธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดนของจีนอย่างร้ายแรง"
ด้านสำนักงานของนางเพโลซีปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นว่าภารกิจเยือนไต้หวันจะยังคงเดินหน้าต่อไปหรือไม่ โดยระบุถึงความวิตกด้านความมั่นคง ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐระบุว่า แผนการเยือนไต้หวันนี้เป็นเพียงสมมุติฐาน โดยไฟแนนเชียลไทม์สได้รายงานเรื่องแผนการเยือนไต้หวันครั้งนี้ พร้อมทั้งระบุด้วยว่า ทำเนียบขาวได้แสดงความวิตกกังวลต่อกรณีดังกล่าว